ผมว่าเวลาพูดถึงว่าเราจะเอาเวลาว่างไปทำอะไรดีที่จะได้รายได้ ผมว่านักเขียนเป็นทางเลือกยอดนิยมอันหนึ่งทีเดียว เพราะการเขียนมักจะเป็นกิจกรรมที่เราทำยามว่างได้ และก็ไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไรมากนัก ผมขอวิเคราะห์การเป็นนักเขียนผู้ประกอบการวันหยุดผ่าน PALMS ดังต่อไปนี้นะครับ
1. เป็นงานที่เรารัก (Passion)
คนจะเป็นนักเขียนได้ อย่างแรกผมว่าจะต้องมีความรักในการเขียน คือถ้าไม่รักรับประกันได้ว่าเขียนได้ไม่กี่หน้าก็ไม่อยากเขียนต่อแล้ว ส่วนตัวผม ข้อนี้ได้ตรง ๆ เลย คือผมเขียนหนังสือทุกวันเลยครับ ผมชอบเขียน มีความสุขในการเขียน ถ้ามีเวลาทั้งวัน จะให้เขียนทั้งวันก็ได้ ผมว่าคำถามที่จะทดสอบว่าเรารักสิ่งนั้นจริง ๆ ไหม คือลองถามว่าถ้าเราทำแล้วไม่ได้เงิน เราจะทำไหม หรือมากกว่านั้นถ้าต้องเสียเงินทำสิ่งนั้นเราจะทำไหม สำหรับงานเขียนนั้น ผมตอบได้เลยว่า ทำครับ ไม่ได้เงินก็ทำครับ หรือแม้กระทั่งเสียเงินก็ยังทำ
ลองทดสอบตัวเราเองนะครับ ไม่ต้องถึงกับจ่ายเงินหรอก แต่ถ้าบอกว่าเขียนฟรี ยังเขียนเลยนี่เรียกว่าเข้าข่ายแล้ว หรืออย่างน้อย ๆ ก็ขอให้ไม่เกลียดการเขียนก็ยังถือว่าโอเคเช่นกัน
2. เป็นงานที่เราเก่ง (Ability)
แน่นอนครับ คงไม่ได้มีใครที่เก่งเรื่องการเขียนมาตั้งแต่เกิดแน่ ๆ แต่ของแบบนี้ฝึกฝนกันได้ครับ ถึงแม้เราไม่ได้จบมหาวิทยาลัยได้รับปริญญาบัตรมาเรื่องการเขียนโดยตรง เราก็เขียนได้ครับ ถ้าจะให้แนะนำ เราสามารถฝึกฝนได้จากการเข้าคอร์สสอนการเขียน ซึ่งตอนแรก ๆ ต้องบอกว่าผมเข้าเยอะมากครับ คือใครเปิดคอร์สสอนการเขียน ผมเข้าหมด แต่ถ้าจะต้องเลือกเพราะไม่อยากเปลืองค่าใช้จ่าย ก็เลือกโดยดูจากหนังสือที่คนสอนเขาเขียนว่าเราอยากเขียนได้ในแนวเขาหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เข้าเรียน ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องเรียน เรียนแล้วอย่าลืมฝึกฝนนะครับ เขียนทุกวันในที่สุดเราก็จะเก่งขึ้นได้เองนะครับ
3. ใช้เงินลงทุนต่ำ (Low Investment)
การเป็นนักเขียนแทบไม่ได้ใช้เงินลงทุนเลยนะครับ อย่างมากก็มีแค่คอมพิวเตอร์ตัวเดียว ซึ่งปกติเราก็มีกันอยู่แล้ว แค่นั้นเลย การไปเขียนตาม Platform ต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ฟรี ถ้าจะมีค่าใช้จ่ายบ้างก็อาจจะจ้างคนมาทำ Blog ให้สวย ๆ อะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นการเขียนเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเลยล่ะครับ เพราะอย่างมากเขียนแล้วไม่มีคนอ่าน เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราก็แค่เขียนใหม่ให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
หรือถ้าจะทำเป็นหนังสือก็อาจจะมีต้นทุนค่าออกแบบ ค่าจัดพิมพ์ แต่ส่วนใหญ่เราก็สามารถเลือกได้ครับว่าจะจัดพิมพ์สักกี่เล่มอะไรแบบนี้ถ้าต้องการพิมพ์เองนะครับ แต่ถ้าเราไปออกหนังสือกับสำนักพิมพ์อันนี้ก็ไม่มีต้นทุนอะไรเลยเช่นกัน เราแค่ส่งงานเขียนให้เขาพิจารณา ถ้าเขารับตีพิมพ์ เราก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์มาเลยโดยที่ไม่ต้องมีเงินลงทุนอะไร เพียงแต่อาจจะยากหน่อยในช่วงแรก ๆ ที่เรายังไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก สำนักพิมพ์เขาก็อาจจะยังไม่ค่อยสนใจเราเท่าไร
หรือการทำเป็น eBook หรือ Digital Book ถ้าเป็น eBook ก็อาจจะมีแค่ค่าจัดหน้า จะทำเองก็ได้หรือถ้าต้องการความสวยงามก็จ้างคนมาทำให้ก็ได้ถ้าเราไม่ถนัด จะจำหน่ายเอง หรือจำหน่ายผ่าน Platform ต่าง ๆ ก็ได้เช่นกัน ส่วน Digital Book ซึ่งเดี๋ยวนี้มี Platform ที่เขาให้ Load อ่านเป็นตอน ๆ อันนี้ก็ทำได้เลย ส่งไปให้เขาพิจารณา เขาก็จะนำไปลงใน Website ของเขา แล้วเราก็ได้ส่วนแบ่งรายได้
จะเห็นว่าทางเลือกทั้งหมดที่ให้มานั้น เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนหรือถ้าจะใช้ก็ใช้น้อยมาก การทำรายได้จากงานเขียนจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
4. ต้องสร้างรายได้ได้ (Money)
รายได้จากการเขียนมีได้หลายทางครับ เริ่มอย่างแรกคือการขายหนังสือ ถ้าเราเขียนได้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถรวมเรื่องราวที่เราเขียนออกเป็นหนังสือ Pocket Book สักเล่มหนึ่ง โดยถ้าขนาดกลาง ๆ ก็จะอยู่สัก 250 หน้า หรือถ้าเราประมาณไม่ถูก คือเราเขียนใน Microsoft Word ได้สัก 100 หน้า A4 ก็เป็นหนังสือได้แล้ว หรือใครชอบเขียนนิยายก็อาจจะหนาบางต่างกันออกไป
พอเขียนเสร็จแล้ว เราก็มีทางเลือก 2 ทางคือการออกหนังสือเอง ซึ่งอันนี้ข้อดีคือถ้าหนังสือขายดี เราก็ได้รายได้เต็ม ๆ เลย แต่ข้อเสียคือถ้าขายไม่ดี เราก็จะเหลือหนังสือเยอะ อาจจะขาดทุนได้ ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่คือถ้าจะออกหนังสือเอง ก็พิมพ์น้อย ๆ ก่อนครับ ใช่ครับพิมพ์น้อย ๆ ต้นทุนต่อเล่มจะสูง แต่ข้อดีคือเราไม่ต้องลงทุนสูงตั้งแต่แรก
หรือเราอาจจะใช้รูปแบบ Preorder ก็ได้ครับ รูปแบบนี้คือการประกาศไปก่อนเลยว่าเราจะเขียนหนังสือเรื่องนี้นะ กำลังจะจัดพิมพ์ ใครสนใจซื้อ สามารถโอนเงินมาได้ เราจะพิมพ์เท่ากับจำนวนการสั่งซื้อ ใช่ครับ ช่วงแรก ๆ เราอาจจะขายหนังสือได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ขาดทุนแน่นอน เพราะเราก็จะพิมพ์เท่าที่จำนวนสั่ง (หรือมากกว่านิดหน่อย) ค่อย ๆ เริ่มครับ
อีกรูปแบบในการหารายได้จากหนังสือคือทำพวก Digital Products เช่นการแปลงเป็น eBook หรือ Digital Book รูปแบบ eBook อันนี้เราขายผ่าน Platform ต่าง ๆ ได้ทันที ข้อดีคือแทบไม่มีความเสี่ยงเพราะแทบจะไม่มีต้นทุนในการผลิตเลย แต่ข้อเสียคือคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยนิยมอ่าน eBook หรือ Digital Book สักเท่าไรครับ
ก็ไม่ได้ถึงกับวาดฝันว่าเขียนทีเดียวแล้วได้รายได้เยอะแยะเลยนะครับ มันอาจจะต้องใช้เวลา อดทน ทำไปเรื่อย ๆ แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราไม่ย่อท้อ พัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเราก็จะสามารถสร้างรายได้จากงานเขียนได้ในที่สุด
5. สามารถขยายใหญ่ได้ (Scalability)
งานเขียนส่วนใหญ่จะเข้าข่ายที่สามารถขยายให้ใหญ่ได้ เพราะเราแค่ลงทุนเขียนครั้งแรกครั้งเดียว หลังจากนั้นจะพิมพ์ 100 เล่มหรือ 1 หมื่นเล่ม เราก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรเพิ่มเติม เพราะเราเขียนแล้ว เราไม่ได้ไปเปิดร้านจัดจำหน่ายเอง ส่วนใหญ่เราก็ขายผ่านร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศอยู่แล้วหรือถึงแม้ว่าจะจัดจำหน่ายเอง ถ้ามันมีจำนวนมาก จนเราไม่มีเวลาทำเอง เพราะเราเป็นผู้ประกอบการวันหยุด เราก็จ้างคนมาทำได้เช่นกัน
จากการวิเคราะห์โดยให้หลักการ PALMS จะเห็นว่าการเป็นนักเขียนนั้นตอบโจทย์นี้ทุกข้อเลย ส่วนตัวตอนนี้ผมก็ทำอยู่ในทุกเรื่องที่เขียนมา ก็ลองนำไปเป็นทางเลือกของการเป็นผู้ประกอบการวันหยุดของท่านกันครับ
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit
No comment yet, add your voice below!