8 กฏของ The Passion Economy

หนังสือเล่มนี้ซื้อมาเพราะชื่อเลยครับ คือส่วนตัวทำรายการ Weekend Entrepreneur ในช่อง Nopadol’s Story Podcast ก็เลยอยากหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการทำอะไรตาม Passion ของตัวเอง

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Adam Davidson ซึ่งเป็น Podcaster และ Cofounder ของ NPR’s Planet Money ในหนังสือมีตัวอย่างของ Passion Economy จำนวนมาก แต่ที่ชอบที่สุดคือเขามีกฏของ Passion Economy 8 ข้อดังต่อไปนี้ครับ

1. ทำตาม Passion ของเราให้เต็มที่

หา Passion ของเราให้เจอ เสร็จแล้วพยายามจับคู่สิ่งที่เป็น Passion ของเรากับคนที่ต้องการ และรับฟัง Feedback จากคนเหล่านั้นให้ดี

2. สร้างสิ่งที่คนทำตามได้ยาก

อย่าไปทำอะไรตามคนอื่น ลองสร้างคุณค่าที่คนอื่นสามารถทำตามได้ยาก เราไม่ต้องพยายามทำอะไรที่คนจำนวนมากอยากได้ ให้เลือกกลุ่มลูกค้าและสร้างคุณค่าให้กับคนกลุ่มนั้นมากที่สุด

3. ตั้งราคาตามคุณค่าที่เราให้

การตั้งราคาไม่ใช่เริ่มจากต้นทุนแต่ให้เริ่มจากคุณค่าแล้วค่อยไปจัดการต้นทุนทีหลัง โดยคุณค่าจะเกิดขึ้นจากการสื่อสาร การให้บริการ ระวังอย่าใช้การเปรียบเทียบราคากับคู่แข่ง พยายามตั้งราคาให้สูงแต่ก็ต้องให้คุณค่าที่สูงตาม นอกจากนี้ในหลายครั้งอาจจะตระหนักรู้ว่า รายได้ที่เป็นตัวเงินอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่เราต้องการ แปลว่าบางทีเราอาจจะอยากสร้างความสัมพันธ์หรือ Profile ดังนั้นถึงแม้ว่าจะได้รายได้ไม่เยอะนัก เราก็อาจจะทำงานนั้นก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้เราสามารถปรับราคาได้เสมอ แต่ไม่ใช่ปรับหลังจากตกลงราคากันแล้ว และถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นผู้ประกอบการ เราก็มีการตั้งราคาเหมือนกัน ซึ่งมันคือเงินเดือนของเรานั่นเอง สุดท้ายแล้วบททดสอบง่าย ๆ ว่าเราตั้งราคาแล้วมันเหมาะสมหรือไม่ ก็คงต้องถามตัวเองว่าเรารู้สึกดีหรือไม่ จำไว้ว่าการตั้งราคาต่ำไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่ดีเสมอไป ราคาที่เราตั้งจะสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่เรานำเสนอ

4. มีลูกค้าที่รักเรามาก ๆ จำนวนน้อยดีกว่ามีลูกค้าที่รักเราน้อย ๆ จำนวนมาก

พยายามคัดเลือกเฉพาะลูกค้าที่ “ใช่” จริง ๆ แต่ให้ใช้เวลาคัดเลือกอย่าตัดสินเร็จจนเกินไป และจริง ๆ แล้วลูกค้าที่ “ใช่” มักจะมาหาเราเอง ความชอบของเรา การตั้งราคา คุณค่าที่เราให้ และลูกค้าที่ “ใช่” จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องเดียวกันที่มองคนละมุมเท่านั้นเอง

5. Passion คือเรื่องราว

จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการ แต่เราขาย “เรื่องราว” ให้เราพูดแต่ความจริง แต่ให้เล่าเรื่องราวที่มาที่ไป (ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้เก่งในการเล่าเรื่องราวก็ตาม) เรื่องราวที่เราเล่าจะสะท้อนถึง Passion ในการทำธุรกิจของเรา และจะทำให้คนสนใจ

6. ใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุนธุรกิจ ไม่ใช่เป็นตัวผลักดันธุรกิจ

พยายามเลือกทำในสิ่งที่เทคโนโลยีและบริษัทใหญ่ ๆ ทำไม่ได้ หลายครั้งโอกาสของธุรกิจแบบ Passion Economy เกิดขึ้นก็เพราะบริษัทใหญ่ ๆ เลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์กับคนจำนวนมาก ทำให้มีหลายคนที่อาจจะมีความต้องการบางอย่างที่บริษัทเหล่านี้ตอบโจทย์ไม่ได้ การทำธุรกิจของเราไม่ควรเน้นความใหญ่ แต่ควรจะเน้นความเล็กเพื่อความได้เปรียบนี้

7. รู้จักธุรกิจที่เราทำซึ่งมันอาจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเคยคิด

ศึกษาธุรกิจที่เรากำลังทำให้เรารู้จักอย่างถ่องแท้ และถ้าธุรกิจนั้นมีแนวโน้มจะเปลี่ยนให้เราทำการปรับเปลี่ยนการตั้งราคาทันที หรือค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนคุณค่าที่เรานำเสนอเพื่อให้ตอบโจทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป

8. อย่าไปทำธุรกิจแบบ Commodity ถึงแม้ว่าเราจะขายสินค้าที่คนทั่วไปคิดว่าเป็น Commodity

Commodity คือสินค้าที่มีลักษณะเหมือน ๆ กัน ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย อย่าไปทำธุรกิจแบบนั้น ถึงแม้ว่าเราจะขายสินค้าที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีความแตกต่าง แต่เราควรจะต้องสร้างความแตกต่างให้เจอ

นี่คือกฏ 8 ข้อที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนที่อยากทำธุรกิจแบบ Passion Economy หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอกฏ 8 ข้อนี้ และก็มีกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นการทำตามกฏเหล่านี้ตลอดทั้งเล่ม ลองหาอ่านกันได้ครับ

อ่าน eBook โดยซื้อผ่าน Amazon ได้ที่ https://amzn.to/39dSX1I หรือหากต้องการซื้อเป็นเล่ม ผมจำได้ว่าซื้อมาจาก Kinokuniya ครับ

ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit

 

อย่าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

เขียนหัวข้อผิดหรือเปล่า มันน่าจะเป็น ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักไม่ใช่เหรอ เพราะถ้าทำในสิ่งที่ตัวเองรักเราจะทำได้ดีไง ใคร ๆ ก็บอกว่าให้ทำตามฝันตัวเองกันทั้งนั้น

ไม่ได้ผิดครับ ตั้งใจจะเขียนแบบนี้จริง ๆ ครับ ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ ดู clip ที่มีหลาย ๆ คนยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน รู้จัก Mark Cuban ไหมครับ เขาเป็นเศรษฐีระดับพันล้าน (เหรียญสหรัฐ) ที่เป็นเจ้าของทีมบาสเกตบอลชื่อดัง Dallas Maverick เขาก็บอกว่า Don’t follow your passion พูดง่าย ๆ คืออย่าทำอะไรตามสิ่งที่ตัวเองลุ่มหลงนั่นแหละ

อ้าว ชักจะงงแล้ว ทำไมเราจึงไม่ควรทำในสิ่งที่เราลุ่มหลงล่ะ ผมขอแยกประเด็นออกมาให้ชัด ๆ แบบนี้ครับ

คือถ้าเราทำเพราะความชอบ ความสนุก อันนี้ไม่ได้ห้ามเลยครับ ทำไปเลยครับ แต่ถ้าจะทำเพื่อเป็นงานหลักอันนี้ดูดี ๆ ครับ อย่าง Mark Cuban เขาก็ลุ่มหลงใน Baseball แต่เขาตีลูกไม่เก่ง เขาลุ่มหลงใน Basketball แต่เขาก็กระโดดได้ไม่สูง ลองคิดดูว่า ถ้าเขาตามความฝันเขาไป เขาอาจจะกลายเป็นนักกีฬาดาด ๆ คนหนึ่ง หรืออาจจะไม่ได้เป็นด้วยซ้ำ และก็คงไม่ได้เป็นเศรษฐีพันล้านเหมือนปัจจุบันนี้

สิ่งที่เขาเสนอคือ เขาเสนอให้ Follow your effort ครับ คือให้ทำในสิ่งที่เราทำได้ดี แล้วยิ่งทำไปเรื่อย ๆ เราก็จะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ และเขาบอกว่า ความลับคือ เดี๋ยวเราก็ชอบในสิ่งที่เราทำนั่นแหละ เพราะไม่มีใครไม่ชอบงานที่ตนเองทำได้ดีมาก

พูดง่าย ๆ คือ พอเราเก่งเรื่องไหน เราจะชอบเรื่องนั้นในที่สุด สมมุตินะครับว่า ผมไม่ได้ชอบสอนสักเท่าไร (อันนี้ชีวิตจริงก่อนมาเป็นอาจารย์เลยครับ) แต่พอสอนไปเรื่อย ๆ วันแล้ววันเล่า ในที่สุดเราก็สอนดีขึ้นเรื่อย ๆ ผู้เรียนให้คะแนนประเมินดี มีคำชม ในที่สุดเราก็จะชอบสิ่งนี้โดยอัตโนมัติ

อีกประการหนึ่งคือ เวลาเราทำตามความฝันเรานั้น บางทีมันกลับกลายเป็นทำลายความฝันเราไป เพราะหลาย ๆ ครั้ง เราแค่รักที่จะทำ แต่เมื่อเรา “ต้อง” ทำสิ่งนั้น มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบเสมอไปนะครับ

ผมเคยมีประสบการณ์ตรงอันนี้เลยครับ ทุกคนที่รู้จักผม ก็คงทราบดีว่าผมชอบเขียน คราวนี้ มีสำนักข่าวแห่งหนึ่ง จ้างให้ผมเขียนคอลัมน์เลยครับ ซึ่งผมก็รับ เพราะผมคิดว่ามันตรงกับ Passion ของผม แต่ปรากฏว่าเป็นที่น่าประหลาดใจว่า ตอนที่ผมเขียนโดยอิสระนั้น ผมเขียนได้คล่องมาก วัน ๆ มี Idea มาเขียนมากมายไปหมด แต่เมื่อผม “ต้อง” เขียนตามโจทย์ของสำนักข่าวนั้น กลับกลายเป็นว่า ผมเขียนไม่ค่อยออกและรู้ตัวเลยครับว่า ข้อเขียนที่เขียนนั้น มันไม่ดีเท่าที่เราเขียนเอง

นี่ขนาดเป็นแค่การเขียนที่ได้รับค่าตอบแทนนะครับ ยังไม่ใช่อาชีพ “นักเขียน” หรือ “นักข่าว” นะครับ ถ้ามันกลายเป็นอาชีพไปเลย แบบต้องส่งต้นฉบับให้ทันเวลาทุก ๆ วัน หนัก ๆ เข้า ผมอาจจะเกลียดการเขียนไปเลยก็เป็นได้ (และอันนี้ก็ลงเอยว่า สำนักข่าวเขาก็เปลี่ยนนโยบาย เลยขอหยุดไม่ต้องให้ผมเขียน ซึ่งก็ตรงใจผมพอดี 555)

อีกอย่างที่เราต้องชัดเจนกับตัวเองคือ อะไรคือสิ่งที่เรา “ลุ่มหลง” กันแน่ ผมเห็นคนจำนวนมากที่อยากเปิดร้านกาแฟ เพียงเพราะว่า เขาชอบดื่มกาแฟ ต้องชัดเจนนะครับ เราชอบ “ดื่มกาแฟ” แต่เราไม่ได้ชอบ “เปิดร้านกาแฟ” พอเรา ซึ่งชอบดื่มกาแฟ ไปเปิดร้านกาแฟ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราต้องบริการลูกค้า เราต้องคิดเงิน เราต้องหาเงินมาปรับปรุงร้าน ซึ่งมันไม่ใช่งานที่เราชอบเลย สุดท้ายเราก็ไปไม่รอด

ตอนเด็ก ๆ ผมเคยคิดว่าอยากเป็นนักฟุตบอลครับ เพราะผมชอบ “ฟุตบอล” แต่โชคดีนะครับ ที่ผมไม่ได้ตัดสินใจไปเป็นนักฟุตบอล ซึ่งตอนนั้น แทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นอาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งที่ผมลุ่มหลง คือการ “เชียร์” ฟุตบอลครับ ไม่ใช่ “เป็น” นักฟุตบอลอาชีพ ผมรู้เลยครับว่า ถ้าสมมุติผมลาออกจากโรงเรียน ไปเตะฟุตบอลตามความฝัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ผมคงต้องตื่นแต่เช้าออกวิ่ง ซ้อม ๆ ๆ ๆ และทำอย่างนี้ทุกวัน เพื่อจะได้ลงแข่ง อันนี้ไม่ต้องบอกว่าเราจะชนะหรือเปล่านะครับ แต่แค่คิดก็รู้สึกเบื่อแล้ว เพราะเราชอบดูฟุตบอล หรือ เตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ มากกว่า จะทำไปเป็นอาชีพแบบนั้น ขืนทำไปไม่นานก็คงเลิก แล้วคราวนี้ก็คงเคว้งคว้างน่าดูเหมือนกัน

เอาเป็นว่า จริง ๆ ไม่ได้ต่อต้านการทำในสิ่งที่ตัวเองรักหรอกนะครับ เพียงแต่ให้ชัดเจนว่ารักอะไรกันแน่ แล้วถ้าต้องทำสิ่งที่ตัวเองรักเพื่อเป็นอาชีพ เราจะยังรักสิ่งนั้นอยู่หรือเปล่า ถ้าชัดเจนตรงนี้แล้ว คิดว่าใช่ ก็ไม่มีใครห้ามครับ คิดดี ๆ แล้วลุยไปได้เลยครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

 

Grit: The Power of Passion and Perseverance

หลายท่านที่กำลังมุ่งหาความสำเร็จให้กับตัวเอง หรือกับองค์กร ย่อมที่จะมีคำถามว่าอะไรทำให้ตัวเราเองประสบความสำเร็จหรือคนที่มีลักษณะแบบไหนที่จะทำงานแล้วประสบความสำเร็จ คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ตอบได้ง่ายนัก ถ้าเป็นในอดีต เรามักจะเชื่อกันว่า คนที่เรียนเก่ง ๆ ได้เกรดดี ๆ จะเป็นคนที่องค์กรมักจะอยากได้ เพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้ฉลาด และน่าจะทำงานประสบผลสำเร็จ

แต่พอมาถึงปัจจุบัน หลายองค์กรก็พบว่า การนำเอาเกรดเฉลี่ยเป็นตัวตัดสินในการคัดเลือกนั้น มันไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป เราพบเห็นคนที่ได้เกรดเฉลี่ยสูง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน แต่กลับประสบความล้มเหลวในการทำงานจำนวนไม่น้อย แต่คำถามที่สำคัญคือ แล้วเราควรจะเลือกคนที่เรียนไม่ดี ได้เกรดต่ำ ๆ หรือ คนเหล่านั้นจะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จจริงหรือเปล่า คำตอบก็คงเป็นเหมือนเดิมคือ ก็อาจจะไม่ใช่เช่นกัน เราเห็นคนที่ประสบความสำเร็จมีทั้งคนที่เรียนเก่ง ได้เกรดสูง ๆ กับคนที่เรียนไม่เก่งได้เกรดต่ำ ๆ เช่นกัน หรือกล่าวได้ว่า เกรดอาจจะไม่ใช่ตัววัดที่จะสามารถนำมาแยกแยะว่าใครจะสำเร็จหรือล้มเหลวต่อไป

คำถามที่น่าสนใจต่อมาคือ แล้วอะไรคือตัววัดที่สามารถแยกคนที่ประสบความสำเร็จออกจากคนที่ประสบความล้มเหลว เพราะถ้าเราทราบถึงปัจจัยนั้นได้ การคัดเลือกก็อาจจะทำได้ง่ายขึ้น หรือแม้กระทั่งตัวเราเองก็จะได้ทราบว่าเราควรจะต้องทำตัวอย่างไร ให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน

มีหนังสือหลายเล่มได้กล่าวถึงเรื่องนี้ แต่ต้องยอมรับว่าหนังสือที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากคือหนังสือที่ชื่อว่า Grit ที่แต่งขึ้นโดย Angela Duckworth ซึ่งเป็น Professor ทางด้านจิตวิทยาจาก University of Pennsylvania หนังสือเล่มนี้มาจากงานวิจัยของ Professor Duckworth ที่ค้นพบว่าปัจจัยสำคัญของความสำเร็จนั้นมี 2 ประการ คือ ความลุ่มหลงในสิ่งที่ทำ หรือที่เรียกว่า Passion กับ ความมานะพยายามที่จะทำสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่องหรือที่เรียกว่า Perseverance โดย Professor Duckworth เรียกทั้งสองอย่างนี้รวมกันว่า “Grit”

หนังสือเล่มนี้มีความหนาทั้งสิ้น 333 หน้า แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนหลัก โดยส่วนแรกเป็นการอธิบายว่า Grit คืออะไร ซึ่ง Professor Duckworth ได้มีการนำเสนอกรณีศึกษาตัวอย่างของการใช้มาตรวัด Grit ที่ได้สร้างขึ้นมา โดยมาตรวัดนี้มีเพียง 10 ข้อสั้น ๆ ดังต่อไปนี้

1) ความคิดใหม่ ๆ และโครงการบางครั้งทำให้ฉันไขว้เขวไปจากสิ่งที่เราทำก่อนหน้านี้
2) ความผิดหวังไม่ทำให้ฉันท้อใจ เราไม่ล้มเลิกอะไรง่าย ๆ
3) ฉันมักจะตั้งเป้าหมายไว้แต่ในภายหลังก็จะเปลี่ยนไปทำอีกอย่างหนึ่ง
4) ฉันเป็นคนที่ทำงานหนัก
5) ฉันมักจะมีความยากลำบากที่จะมุ่งเน้นทำโครงการใดโครงการหนึ่ง ถ้าโครงการนั้นมีระยะเวลานานหลายเดือนกว่าจะเสร็จ
6) ฉันจะทำสิ่งที่เริ่มจนเสร็จสิ้น
7) ความสนใจของฉันจะเปลี่ยนไปในแต่ละปี
8) ฉันเป็นคนขยัน ฉันไม่เคยล้มเลิก
9) ฉันมักจะหมกมุ่นกับความคิดใดความคิดหนึ่งหรือโครงการใดโครงการหนึ่งในระยะเวลาอันสั้น และก็จะหมดความสนใจในที่สุด
10) ฉันสามารถเอาชนะความผิดหวังและเอาชนะความท้าทายอันสำคัญได้ในที่สุด

โดยในแต่ละข้อจะมี Scale 1-5 ให้เราประเมินตนเอง โดย 1 หมายถึง ไม่ใช่เราเลย และ 5 หมายถึง คล้ายกับเรามาก ๆ หลังจากนั้นก็เอาคะแนนทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ย ยิ่งเราได้คะแนนใกล้ 5 มากเท่าไร ก็แสดงว่าเรามีความเป็น “Grit” มากเท่านั้น และหนังสือเล่มนี้ก็พบว่ายิ่งเรามีความเป็น Grit สูง เราก็มักจะมีแนวโน้มที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราทำสูงขึ้นไปด้วย

สำหรับในส่วนที่ 2 ของหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องของการสร้าง Grit จากภายในไปสู่ภายนอก เริ่มตั้งแต่โดยการสร้างความสนใจ (Interest) โดยการฝึกฝน (Practice) โดยการตั้งวัตถุประสงค์ (Purpose) และโดยความหวัง (Hope) ในส่วนสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ คือการสร้าง Grit จากภายนอกเข้าสู่ภายใน ซึ่งมีทั้งเรื่องการเลี้ยงดู (Parenting) การสร้างพื้นที่ในการเล่น (Playing field) และการสร้างวัฒนธรรมที่จะส่งเสริมความเป็น Grit (Culture)

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หากมาตรวัดทั้ง 10 ข้อที่ใช้วัด Grit นี้สามารถแยกแยะคนที่ประสบความสำเร็จออกจากคนที่ประสบความล้มเหลวได้แล้ว การค้นพบนี้จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกระบวนการคัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย หรือคนที่จะเข้าทำงาน ทิ่มากไปกว่านั้น ตัวผู้อ่านเองก็สามารถที่จะนำไปประเมินว่า เรายังมีจุดด้อยเรื่องใด และสามารถพัฒนาปรับปรุงจุดด้อยเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงที่ผู้เขียนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อย่างมากและแนวคิดที่ได้นำเสนอในหนังสือเล่มนี้ก็มีพื้นฐานมาจากงานวิจัย ไม่ใช่เป็นเพียงความนึกคิดของผู้เขียนเท่านั้น หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะสมกับทุกคนที่อยากที่จะประสบความสำเร็จ รวมถึงคนที่ทำหน้าที่ในการคัดเลือกบุคลากรเพื่อเฟ้นหาคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการลดทั้งต้นทุนและเวลาอย่างมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่หนังสือเล่มนี้ จึงเป็นหนังสือที่ติดอันดับ Best Seller และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

บรรณานุกรม
Duckworth, A. (2016) Grit: The Power of Passion and Perseverance, New York: Scribner.

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho