สอน Online อย่างไรให้สำเร็จ

ต้องออกตัวก่อนว่า ไม่ได้เป็นกูรูอะไรมากมาย มาสอน Online อย่างจริงจังก็ช่วง COVID-19 นี่แหละ โดยเริ่มจากต้นปี 2020 และถึงแม้ว่าในเทอมถัดมา มหาวิทยาลัยบอกว่ามาสอนที่ห้องได้แล้ว ผมก็ยังเลือกที่จะสอน Online อยู่เพราะอยากจะรู้ว่า ถ้านำมาใช้ในเหตุการณ์ปกติที่จริง ๆ ก็สอนในห้องได้จะเป็นอย่างไร

เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เทอมที่ต้องสอน Online เพราะมหาวิทยาลัยปิดไปจนถึงเทอมที่สมัครใจสอนเองทั้ง 2 เทอม ผมได้รับการประเมินการสอนที่ดีมาก เอาเป็นว่า มากกว่าที่เคยได้รับในการสอนแบบเจอหน้ากันซะด้วยซ้ำ และที่ดีใจว่าคะแนนประเมิน คือ Comment จากนักศึกษาที่เขาชอบมาก ๆ กับการเรียน Online

และออกตัวอีกรอบว่า ผมไม่ได้บอกว่า Online ดีกว่าการเจอหน้ากันในทุกกรณี และก็ไม่ได้บอกว่าวิธีที่ใช้สามารถใช้ได้กับการสอนในทุกคณะ ทุกรูปแบบ ผมเข้าใจครับว่าแต่ละศาสตร์อาจจะมีข้อจำกัดแตกต่างกัน ทำให้วิธีบางวิธีอาจจะทำไม่ได้ หรือ ทำแล้วไม่ได้ผล

แต่ที่อยากจะเขียนเรื่องนี้ คืออยากให้ผู้สอนลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ และก็ไม่ใช่วิธีที่ผมคิดค้นมาเองแต่ประการใด ผมอ่านหนังสือ ศึกษาจากอาจารย์เก่ง ๆ ที่เขาก็ทำได้ดีมาก ๆ และนำมาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง จนกระทั่งคิดว่าอยากนำมาสรุป เผื่อท่านอื่น ๆ จะได้นำไปทดลองใช้บ้างเช่นกัน

เอาล่ะครับ เขียนมาซะยาว ผมขอสรุปปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการสอน Online ดังนี้ครับ

1. เข้าใจผู้เรียน (Empathy)

ผมว่าข้อนี้สำคัญมาก ๆ ครับ ผมเคยอ่านหนังสือที่เขียนโดย Professor จาก Harvard University เขาบอกประโยคหนึ่งที่สะดุดใจว่า

“อาจารย์อาจจะเข้าใจว่าตัวเองสอน แต่ผู้เรียนอาจจะไม่ได้เรียน”

คือหลายครั้งเราในฐานะผู้สอน เอาตัวเราเป็นที่ตั้ง เช่น เปิด Application Zoom Share Screen เอา PowerPoint ขึ้น แล้วพูดรวดเดียว 3 ชั่วโมง เราสอนจบละ แบบนี้เราได้สอนจริงครับ แต่หลายครั้งผู้เรียนอาจจะไม่รู้เรื่องเลย และเราก็อาจจะจบด้วยการโทษว่า นี่ไง สอน Online ไม่ Work ใช่ครับ เราพูดถูก มันไม่ Work แต่ส่วนหนึ่งคือมันมาจากการที่เราไม่ได้ปรับการสอนของเราเลยเช่นกัน

แล้วควรทำอย่างไร…

ผมแนะนำครับ ใครอยากสอน Online ได้ดี ลองไปเรียน Online ดู ส่วนตัวผมเรียน Online เยอะมาก นอกจากเรียนเพื่อจะได้ Update ความรู้แล้ว ผมยังได้จำเทคนิคต่าง ๆ ในการสอนด้วย อยากทราบไหมครับว่าการเรียน Online 3 ชั่วโมงรวดมันน่าเบื่อแค่ไหน เอาง่ายสุดครับ เข้าไป YouTube หา Clip 3 ชั่วโมง แล้วนั่งดูให้จบ ผมเชื่อว่าแม้แต่เราก็ยังทนไม่ได้ แล้วเราจะให้คนเรียนกับเราเขารู้เรื่อง ฟังตลอด มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

นอกจากนี้ Style การเรียนของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันครับ ใน Class แรกผมมักจะเริ่มจากการถามนักศึกษารายบุคคลว่า เขามีความชอบในการเรียนในรูปแบบใด (ถ้า Class เล็กก็ถามผ่าน Application Zoom หรือ MS Teams ที่ผมใช้เลย Class ใหญ่ก็ให้เขาตอบ Online Questionnaire มาก็ได้) เพื่อเราจะได้เข้าใจเขาเป็นรายบุคคลก่อน

อย่างเช่นเรื่องให้นักศึกษาเปิดกล้องระหว่างเรียน อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะ ผมไม่ได้บังคับใคร เพราะผมว่าบางคนก็อาจจะไม่สะดวกที่จะเปิดกล้อง จะเป็นเรื่องของชุดที่ใส่ บ้านที่อยู่ แต่อาจารย์หลายคนอาจจะกังวลว่า อ้าว ไม่เปิด เดี๋ยวเขาก็หลับ เดี๋ยวก็ไม่เรียน ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าเขาไม่อยากเรียน เปิดกล้องเขาก็ไม่เรียนเหมือนเดิม แต่จะทรมานกว่าเดิมด้วย เรื่องจะดึงเขาเข้ามาเรียนได้อย่างไร เดี๋ยวมาดูข้อต่อไปอีกที

ผมเชื่อว่าถ้าเริ่มจาก Empathy เราจะเข้าใจเขามากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ว่าเขาว่าทำไมไม่ตั้งใจเรียน บางทีการเรียนแบบปิดกล้อง อาจจะทำให้เขาเรียนรู้เรื่องมากขึ้นก็ได้ ไม่ต้องเกร็ง เรียนไปกินไปได้ อะไรแบบนี้ ซึ่งมันเหมาะกับ Style การเรียนของเขาก็ได้อีกเช่นกัน คือผมว่ายิ่งเราเข้าใจเขามากขึ้น การสอนเราก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นตามครับ อันนี้เป็นพื้นฐานแรกก่อน

2. สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) 

เอาล่ะ พอเราเข้าใจเขามากขึ้น คราวนี้เราต้องดึงเขาเข้ามาสู่การเรียนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเรียนแบบเจอหน้าทำแบบนี้ได้ง่ายกว่าแน่นอน แต่ใช่ว่า Online จะทำไม่ได้

ผมจะเริ่มจากการเรียกเขาตอบครับ เอาตรง ๆ ผมสอน Online ผมเรียกนักศึกษาตอบบ่อยกว่า ตอนเรียนในห้องเรียนอีก เพราะการเรียกตอบมันเป็นการสร้าง Engagement ได้ดีอย่างหนึ่ง

รู้ได้ไงว่าดี ก็ผลการประเมินนี่แหละครับ นักศึกษาที่เรียนกับผมบอกมาว่า ขนาดเพื่อนเป็นคนที่ไม่ชอบตอบ ยังชอบตอบคำถามใน Online Class นี้เลย คือผมมักจะไม่ Judge ว่าคำตอบนี้ถูกหรือผิด ผมบอกเขาเสมอว่ามันคือความคิดเห็น อาจจะเห็นต่างกับผมก็ได้ ผมอาจจะผิดก็ได้ เรามาช่วยกันคิด Solution ด้วยกัน อะไรแบบนี้ดีกว่า

นอกจากการถามบ่อย ๆ แล้ว ผมจะมีการแบ่งกลุ่มย่อย ให้เขาไปพูดคุยกันเอง ผมจะมี Simulation Game ให้เล่น เพื่อเอาความรู้ที่เรียนไปทดลองใช้ ผมให้เขาทำรายงาน ให้เขานำเสนอรายบุคคล ให้ทำการ Vote ให้ตอบมาใน Chat คือทำอะไรก็ได้ ที่เขาต้อง Take Action ไม่งั้นการนั่งฟัง Lecture เฉย ๆ มันจะน่าเบื่อและง่วงมาก (ก็กลับไปที่ข้อแนะนำก่อนหน้านี้ว่า เราลองไปเปิด Clip YouTube ฟัง 3 ชั่วโมงรวดสิครับ เราจะเข้าใจได้เลยจริง ๆ ว่านั่นคือชีวิตของคนที่เรียน Online แล้วเขาเจอแบบนี้ไม่ใช่วิชาเดียว แต่หลายวิชาต่อสัปดาห์เลย มันยากมากที่จะ Focus ได้)

อีกอันหนึ่งที่สร้าง Engagement ได้ดีมาก คือผมจะบอกเขาตั้งแต่ต้นว่า ผมไม่ได้ Treat เขาเป็นนักเรียนที่จะมาเรียนกับผมนะครับ ผม Treat เขาเป็นทีมผู้บริหาร ที่ทำงานกับผมซึ่งเป็น CEO ทุกคนจะมีบทบาทของตัวเอง อย่าง Simulation Game ที่ผมเล่น บางคนจะเป็น R&D Manager บางคนเป็น Marketing Manager อะไรแบบนี้ เช่นผมสอนเรื่อง OKRs ผมก็บอกว่า คุณตั้ง OKRs มาในฐานะ R&D Manager นะ แล้วเดี๋ยวสัปดาห์หน้าเรามา Update ความก้าวหน้ากัน

การทำแบบนี้ ทำให้เขา Take Action มากขึ้น สนุกมากขึ้น จะเรียกว่า Active Learning ก็ได้ครับ ผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไร แต่พอใช้วิธีนี้ ผมพบว่า Engagement มันสูงขึ้นเห็นได้ชัด จะลองนำไปทำดูก็ได้นะครับ

3. ระวังเรื่องอารมณ์ (Emotion)

ผมว่า Part นี้สำคัญมากเช่นกัน อารมณ์ของผู้สอน มันส่งผลต่ออารมณ์ของผู้เรียนโดยตรง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องอารมณ์ดี ร่าเริงตลอดเวลานะครับ ผมว่าอย่างแรกคือเราต้องมีความตั้งใจที่อยากให้ผู้เรียนอยากเรียนและได้ประโยชน์สูงสุดก่อน ทำยังไงก็ได้ที่จะทำให้เขาอยากเรียน พออยากเรียนแล้ว ที่เหลือมันจะง่ายขึ้นเยอะ

ผมเห็นอาจารย์บางท่าน เวลา Comment ผู้เรียน บางทีก็ใส่อารมณ์ไปเยอะ ไปดุด่าเขาแรง ๆ ก็ไม่รู้สินะครับ ผมคงไม่ไปก้าวล่วงแนวทางการสอนของแต่ละท่าน แต่สำหรับผม ผมคิดว่าการทำแบบนี้มันไปปิดสวิทช์ความอยากเรียนของเขาลง ไม่ใช่ว่าเราต้องเยินยอตลอด แต่เราต้องระวังคำพูดเราให้ดี Comment ได้ แต่ Comment แล้วคนฟังต้องอยากปรับตาม ไม่ใช่แค่ Comment ตามอารมณ์เราอย่างเดียว อย่างที่บอกว่าเป้าหมายสูงสุดของการสอน คือคนเรียนอยากเรียนและได้รับประโยชน์ในการเรียนนั้น

อีกเทคนิคหนึ่งคือยอมรับเมื่อเราทำอะไรผิดไป หลายคนอาจจะพูดผิด พอมีนักศึกษาแย้ง ก็เริ่มหงุดหงิดมีอารมณ์ทันที ส่วนตัวนะครับ ผมบอกเลยครับว่า จริงหรือเปล่าที่ผมเคยพูดแบบนั้น ถ้าจริง ขอโทษเลย ผมผิด เอาใหม่ เรามาทำความเข้าใจกันใหม่ ถ้าเราเป็นอาจารย์เรายังผิดได้ และยอมรับว่าเราผิด ผมว่าคนเรียนจะกล้าพูด กล้าทำขึ้นอีกเยอะเลยครับ ดีกว่า ผิดแล้วไม่ยอมรับ แล้วพยายามบอกว่าคนเรียนนั่นสิเข้าใจผิด เยอะมากเลย ในความเห็นผมนะครับ

4. ปรับระดับของพลังงานให้ดี (Energy)

อันนี้การสอน Online ทำได้ยากจริง ๆ ครับ คือคนสอนต้องพลังงานไม่ตก ถ้าเราสอนด้วยเสียงง่วง ๆ คนเรียนง่วงตามแน่นอน แต่ผมยอมรับว่ายิ่งสอน Online มันเหมือนพูดคนเดียว มันไม่เห็นหน้าตาผู้เรียน (ยิ่งอนุญาตให้ผู้เรียนปิดกล้อง เรายิ่งเหมือนพูดกับคอมพิวเตอร์เฉย ๆ เลย)

ส่วนตัวผมโชคดีหน่อย คือ ผมจัด Podcast ทุกวัน คือพูดคนเดียวแบบนี้ทุกวันว่างั้นเถอะ ผมจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องพลังงานสักเท่าไร แต่วิธีที่จะดึงพลังงานเราขึ้นมา คือการสร้าง Engagement นี่แหละครับ ชวนเขาคุย ถามคำถาม ให้เขาได้พูด ได้ Present บ้าง แบบนี้เราจะทำให้ Energy ของ Class เพิ่มสูงขึ้น หรือจะเรียกว่า Class สนุกขึ้นก็ว่าได้

แถมให้อีกนิดครับ แต่ถึงแม้ว่า Energy เรามี แต่บางทีผู้เรียนอาจจะเหนื่อย Energy น้อย อันนี้เราอาจจะทำอะไรมากไม่ได้ แต่ข้อดีของการสอน Online คือเราอัด Clip ไว้ได้ครับ ผมจะอัด Clip ไว้ทุกครั้ง และไป Post ให้เขากลับมาทบทวนในบางตอนที่เขาอาจจะหลุดไป อันนี้ก็ช่วยได้เยอะเลยล่ะครับ

เท่าที่นึกได้ก็มีแค่นี้แหละครับ จำง่ายคือ 4Es คือ Empathy Engagement Emotion และ Energy จริง ๆ ผมว่าก็ใช้ได้กับการสอนปกติเช่นกัน แต่กับ Online ผมว่ามันทวีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอีก

อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นครับ ท่านไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ ผมก็ไม่ได้เป็นกูรูอะไร และข้อจำกัดของแต่ละท่านก็ต่างกัน บางท่านเวลาอ่านไปก็จะบอกว่า ทำไม่ได้หรอกเพราะ… ก็เข้าใจครับ เอาเป็นว่า อะไรทำไม่ได้ก็ข้ามไป อะไรพอจะทำได้ลองปรับใช้ดู และถ้าลองแล้วไม่ Work ก็เลิกก็แค่นั้นครับ ลองหาวิธีใหม่กันต่อไปได้ครับ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการบอกแค่ว่าการเรียน Online มันไม่ Work แล้วจบเลยนะครับ

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการสอน Online นะครับ ผมเชื่อว่าการสอนแบบนี้ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยกว่าปกติ และรางวัลที่ได้ไม่ได้มาในรูปแบบของเงินทองอะไรมากมาย หรือไม่ใช่แม้แต่คะแนนประเมิน แต่แค่คำพูด Feedback ที่ได้รับมาจากผู้เรียน ก็คุ้มค่ากับแรงและความตั้งใจที่เราใส่ไปแล้วล่ะครับ

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการสอนนะครับ

ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit

ประสบการณ์การเรียน Course Online

ผมเพิ่งเรียน Course Online ที่ชื่อว่า ศาสตร์แห่งความสุข (The Science of Happiness) ของ University of California at Berkeley จบครับ นับว่าเป็น Course Online ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ หลายอย่างเลย ก็เลยมาเขียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเรียน Course Online ให้ฟัง (ไม่ได้สรุปเนื้อหาที่เรียนนะครับ)
.
.
1. เป็นการเรียน Online ที่ “หนักที่สุด” ที่เคยเรียนมา

เพราะ Course เขาออกแบบมาให้เรียน 8 สัปดาห์ ดันเพิ่งรู้ตัวว่ามันมี deadline เลยอัดเรียน 3 สัปดาห์ ซึ่งเอาจริง ๆ ต่อให้เรียน 8 สัปดาห์ทุกวัน ผมว่าต้องมีวันละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ แต่พอเหลือ 3 สัปดาห์มันต้องเพิ่มเป็นวันละ 2 ชั่วโมงกว่า แถมบางวันก็ไม่มีเวลาได้เรียน ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
.
.
2. เป็นการเรียนที่มีการอ่านมากที่สุด

เพราะใน course นี้นอกจากต้องดู Clip แล้ว ยังต้องอ่าน material ต่าง ๆ เยอะสุด ๆ ตอนแรกคิดว่า 3 สัปดาห์ สบาย ๆ บอกเลยว่าไม่ครับ เรียนไปแค่บทเดียว รู้เลยว่า มันไม่ทันแน่ ๆ ถ้าเรียนด้วยอัตราเท่านี้ วันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา เรียนทั้งวันจริง ๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
.
.
3. เป็นการเปลี่ยนความคิดจากคิดว่า การเรียน Online เป็นเรื่องง่าย ๆ

แต่ก่อนเคยคิดว่าการเรียน Online ก็แค่ดู clip ไปเรื่อย ๆ จบแล้วก็จบกัน แต่พอมาเจอ Course นี้ ถ้าเราอยากได้ Certificate มันไม่แค่นั้นครับ คือมันมีสอบ มีกิจกรรมให้ทำตลอด และถ้าคิดว่า ไม่เรียน แล้วไปมั่วสอบเอา บอกได้เลยว่าคิดผิด เพราะคำถามเขาคือ จากงานวิจัยของ XXX สรุปได้ว่า …. คือจะมั่วได้อย่างไร ถ้าเราไม่เคยอ่านงานวิจัยของเขา แถมคำตอบบางข้อเป็นแบบมีให้เลือกคำตอบได้เกิน 1 ข้ออีกต่างหาก และถ้าตอบไม่ครบ เช่น คำตอบที่ถูกมี 3 ข้อจาก 4 ข้อ แต่เราตอบแค่ 2 ข้อ ก็ไม่ได้คะแนน แถมถ้าคิดว่าจะมั่ว ๆ ไป เขาก็มีเกณฑ์ว่าต่ำกว่า 60% ก็ไม่ผ่านอีก
.
.
4. รู้เลยว่า การเรียน Online ต้องการ “วินัย” เป็นอย่างมาก

คือถ้าเรียนมั่ง ไม่เรียนมั่ง ไม่มีทางจบได้แน่ ๆ ยากกว่าการไปเรียนเป็น Course ในห้องเรียนอย่างมาก คืออันนั้น ขอแค่ไปตรงเวลา ไปเรียน ก็น่าจะจบแล้ว ความเป็น Online ที่ “เรียนเมื่อไรก็ได้” นี่แหละครับ ตัวปัญหาเลย

ตรงนี้อยากจะเลยเถิดไปถึงเรื่องการศึกษา ถ้าใครคิดว่า จะใช้รูปแบบการเรียน Online มาแทนระบบเดิม มันจะได้ผล ต่อเมื่อคนเรียนต้องมีวินัยจริง ๆ ไม่งั้นเละแน่ ๆ ครับ
.
.
5. รู้ว่า ถ้าเราอยากได้อะไรจริง ๆ เราจะพยายามทำทุกอย่าง

ผมเรียน Course นี้จบก่อนเวลา Deadline เพียง 1 ชั่วโมงเองครับ ระหว่างที่เรียนเกือบจะถอดใจแล้ว เพราะมันเยอะจริง ๆ แต่ก็ตั้งเป้าไว้ว่า อย่างน้อยขอให้มันสุดความพยายามก่อน ได้ใช้ทุกวิธี ไม่ว่าจะเวลาว่างที่มี หรือ แม้กระทั่งการขี่จักรยานออกกำลังกายไปด้วย อ่านบทความไปด้วย

หลัง ๆ ต้องทำขนาด Install App edX ในมือถือ เพราะระหว่างขับรถจะได้เปิด clip ไปด้วย แล้ว link เข้า Bluetooth จะได้ไม่เสียเวลา มันจะได้ทัน
.
.
สรุปว่าดีใจเป็นพิเศษที่เรียน Course นี้จนจบด้วยคะแนน 88% ส่วนเนื้อหา ผมเขียนสรุปไว้ 23 หน้า จะเอาไปเล่าให้ฟังใน Podcast Nopadol’s Story แล้วกันนะครับ
.
.
ตอนนี้เอาเป็นว่า ความรู้สึกเหมือนเด็กสอบเสร็จ ปิดเทอม กลับมาอีกครั้ง 555

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือตามได้ที่ Twitter https://twitter.com/NopadolRompho 

เรียน MBA ดีไหม

ผมว่า คำถามนี้ เป็นคำถามที่คนที่เรียนจบปริญญาตรี มักจะถามกัน ถ้าเป็นแต่ก่อนก็อาจจะถามว่า เราจะเรียนต่ออะไรดี เพราะต้องยอมรับว่า สมัยก่อน เรื่องวุฒิเป็นสิ่งที่สำคัญ คือ หลายคนก็อยากจะจบปริญญาโท เพราะมันมีโอกาสก้าวหน้าทางการงานมากกว่า

แต่พอมาสมัยนี้ ความคิดเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีคนบอกกันมากขึ้นว่า จะไปเรียนทำไม เรียนเองก็ได้ เร็วกว่า และตรงประเด็นกว่าด้วย แถมอาจจะไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองมากมาย

Master of Business Administration หรือ MBA ซึ่งเป็นหลักสูตรที่สอนด้านการบริหาร นับเป็นหลักสูตรหนึ่งที่คนจำนวนมากสนใจ เนื่องจากเหตุผล 2 ประการ คือ 1) ไม่ว่าจะจบอะไรมาในระดับปริญญาตรีก็เรียน MBA ได้ทั้งสิ้น และ 2) ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน ณ จุดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องมีทักษะในการบริหารทั้งสิ้น

กลับมาที่คำถามข้างต้น คือ “เรียน MBA ดีไหม” คำถามนี้บอกตรง ๆ ว่าตอบยาก มันขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคน แต่ในฐานะที่เป็นคนที่เคยเรียน MBA และยังเป็นอาจารย์ที่สอนหลักสูตร MBA มาตลอด ขอตอบคำถามนี้แบบนี้แล้วกันครับ

1. เรามีวินัยในการเรียนพอไหม

ผมทราบครับว่า เดี๋ยวนี้ การเรียน Online มันทำได้ง่าย และมีเนื้อหาดี ๆ ไม่แพ้กับการเรียนในห้องเรียน ในหลักสูตร MBA เลย เพียงแต่ว่า สิ่งที่ท้าทายอย่างมากคือ ตัวเราเองนั่นแหละครับ ว่า เราจะมีวินัยในการเรียนแค่ไหน

เอาแค่ผมเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ ผมชอบเรียน Online นะครับ แต่มีบาง Course เรียนมา 6 เดือนแล้ว ก็ยังไม่จบ ทั้ง ๆ ที่ถ้ามันเป็น Class เรียน ผมว่า 2 สัปดาห์ก็จบ

มันขึ้นอยู่กับวินัยส่วนบุคคลครับ การเรียน Online ไม่มีใครบังคับให้เราเรียน ข้อดีที่หลาย ๆ คนบอกว่า เรียนตอนไหนก็ได้นี่แหละครับ จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง ทำให้เราไม่ได้เรียนสักที

เรียน MBA มันมี class กำหนดไว้ชัดเจน มีงานต้องส่ง มีข้อสอบที่ต้องผ่าน อันนี้แหละครับ จะช่วยให้เรามาเรียนและตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ก็ต้องบอกว่า ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านแล้วล่ะครับ ถ้าท่านบอกว่า ผมเรียนได้เอง มีวินัยสูง MBA อาจจะไม่จำเป็นสำหรับท่านก็ได้

2. เราเลือกวิชาเรียนเองได้ไหม

การเรียน Online มันมีความยากอันหนึ่งคือ มันมีเยอะแยะมากมาย จนบางครั้ง เราอาจจะเลือกไม่ถูกว่า สำหรับคนที่จะเป็น ผู้บริหาร ควรรู้เรื่องไหนบ้าง นอกจากนั้นความยากก็ยังอยู่อีกว่า แล้ว เราควรเรียนเรื่องไหนก่อนหลัง

หลักสูตร MBA ส่วนใหญ่แล้ว จะถูกวางแผนกันมาอย่างดีว่าเรื่องไหน ควรเรียน เรื่องไหน ยังไม่จำเป็นมากนัก วิชาไหน ควรเป็นวิชาบังคับ วิชาไหน ควรเป็นวิชาเลือก ถามว่า มันดี 100% เลยไหม ก็อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่กว่าจะเป็นหลักสูตรมาได้ มันผ่านการอภิปรายกับ ผู้ประกอบการ นายจ้าง คนเรียน รวมถึงคณาจารย์มาหลายรอบมาก ๆ

แต่ถ้าท่านคิดว่า ไม่หรอก เรารู้ตัวเองว่า อะไรควรเรียน อะไรไม่ต้องเรียน MBA ก็อาจจะไม่จำเป็นสำหรับท่าน

3. ถ้าเรียนแล้วไม่เข้าใจ ท่านมีคนให้ถามไหม

ข้อจำกัดอันหนึ่งของการเรียน Online คือ เรียนแล้ว เกิดไม่เข้าใจขึ้นมาจะทำอย่างไร ใช่ครับ หลาย ๆ ครั้งการเรียน Online มันก็มี Forum ให้เข้าไปถามตอบได้ แต่บางครั้ง คนตอบก็ตอบมาสั้น ๆ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ การเรียน MBA ในชั้นเรียน มีข้อได้เปรียบเรื่องนี้อย่างมาก เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผู้เรียนสามารถถามอาจารย์ได้ทันที หรือ ไม่ก็ถามเพื่อนร่วมชั้นก็ยังได้

แต่ถ้าท่านคิดว่า ไม่หรอก เราเรียนแล้วเราน่าจะเข้าใจหมด หรือไม่เป็นไร เรามีคนให้ถาม สะดวกมาก อันนั้น เรียนเองก็อาจจะได้ครับ

4. Connection จำเป็นไหม

การเรียนเองส่วนใหญ่ มักจะเป็นการเรียนเพียงคนเดียว ดังนั้นสิ่งที่อาจจะหายไปคือ Connection คือเรามักจะไม่ค่อยไปรู้จักกับคนอื่น ต่างจากการเรียนในชั้นเรียน โดยเฉพาะในหลักสูตร MBA ที่เราจะเจอคนที่หลากหลายมาก เราจบวิศว ฯ มา ก็จะเจอเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่จบบัญชี จบหมอ จบสถาปัตย์ ฯ การที่เราได้รู้จักกับคนหลากหลายวงการนี้ จะมีประโยชน์อย่างมากในการทำงานของเราต่อไปในอนาคต ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ประกอบการ หรือ เป็นผู้บริหารในองค์กรก็ตาม

แต่ถ้าท่านคิดว่าวิชาชีพที่ท่านทำ ไม่จำเป็นต้องรู้จักคนเหล่านี้ หรือท่านมีช่องทางอื่น ๆ ที่จะสร้าง Connection เหล่านี้ได้อยู่แล้ว MBA ก็อาจจะไม่จำเป็นเช่นกัน

5. ท่านสามารถได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์จริงได้มากแค่ไหน

การเรียน Online นั้น ส่วนใหญ่ มักจะเป็นการเรียนจากผู้สอนเพียงคนเดียวใน Course นั้น ๆ (หรือก็ไม่เยอะ) ดังนั้นโอกาสที่เราจะได้ไปเจอกับผู้บริหารองค์กรใหญ่ ๆ หรือผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ เป็นไปได้ค่อนข้างยาก ถึงแม้จะมีอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่าน VDO clip ต่างจากการเรียน MBA (อันนี้ต้องบอกว่าในบางที่นะครับ ท่านต้องเลือกหลักสูตรที่เรียนด้วย) ท่านจะได้เจอกับคนที่เป็น CEO ระดับที่ว่า ถ้าเราไปนัดเจอเอง เพื่อจะไปขอเรียนรู้จากประสบการณ์จากท่านเหล่านั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่การเรียน MBA หลายครั้ง อาจารย์ผู้สอนก็มี Connection กับผู้บริหารเหล่านั้น จึงเรียนเชิญท่านมาให้ความรู้ในชั้นเรียนได้

แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่มี Connection อยู่แล้ว สามารถนัดผู้บริหารระดับสูงในองค์กร เพื่อไปขอความรู้ได้ MBA ก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ท่านในเรื่องนี้

6. ปริญญาบัตรสำคัญสำหรับความก้าวหน้าของท่านมากน้อยแค่ไหน

ใช่ครับ ตอนนี้เรามาอยู่ในยุคที่ใคร ๆ ก็บอกว่า ปริญญาบัตรไม่สำคัญ แต่ในชีวิตจริง มันเป็นแบบนั้น 100% แล้วหรือยัง สมมุติว่าท่านสัมภาษณ์คน ๆ หนึ่ง คนแรกบอกว่าจบ MBA จาก Harvard คนที่สองบอกว่า เรียนเองจาก Youtube นอกเหนือจากนั้น ดูเหมือนกับว่า ท่านไม่ได้เห็นความแตกต่างชัดเจน (ก็คงเห็นยาก เพราะสัมภาษณ์ก็ใช้เวลาไม่นาน) แบบนี้ ท่านคิดว่า คนที่มี MBA จาก Harvard จะยังคงได้เปรียบไหม อันนี้ไม่มีผิดมีถูกครับ แต่ผมเชื่อว่าไม่มากก็น้อย ปริญญาบัตรมันก็ยังคงส่งผลอยู่ระดับหนึ่งทีเดียว

แต่ถ้าท่านบอกว่า ปริญญาบัตรมันไม่เกี่ยวกับผมหรอก ผมไม่ได้ใช้ทำอะไร การเรียน MBA ก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ท่านเช่นกัน

ดูเหมือนว่าผม ซึ่งเป็นอาจารย์สอนในหลักสูตรนี้ อาจจะมีความลำเอียงในการเขียนบทความนี้ออกไปทางว่า เรียน MBA กันเถอะ แต่ผมหมายถึงอย่างนั้นจริง ๆ นะครับ ท่านลองตอบคำถามข้างต้นดูดี ๆ ครับ บางที MBA อาจจะไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับทุกคนนะครับ

สุดท้ายก่อนจบ ที่ผมอยากให้ท่านคิดดี ๆ เพราะการเรียน MBA ให้ประสบความสำเร็จนั้น ท่านต้องมีความพร้อม ทั้งในเรื่องของเวลา ผมรับรองได้ว่า มันใช้เวลาเยอะแน่ ๆ แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่างหาก สุดท้ายมันก็คือการวิเคราะห์ว่ามัน “คุ้ม” หรือไม่ ในฐานะอาจารย์ผู้สอน MBA ผมอยากให้เฉพาะคนที่คิดว่ามันจะได้ประโยชน์จริง ๆ กับเขามาเรียน ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะดีทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าคนที่คิดว่าไม่ใช่ แต่เข้ามาเรียน ผมว่ามันไม่มีอะไรดีเลยครับ

เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจเรียน MBA และสนใจธรรมศาสตร์ด้วย เราอาจจะได้เจอกันครับ 🙂

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho หรือฟัง Podcast Nopadol’s Story ได้ที่ https://nopadolstory.podbean.com/