ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้

พอขึ้นต้นหัวข้อเรื่องแบบนี้ ผมว่าหลายคนคงตั้งคำถามแนวโต้แย้ง ประมาณนี้

“จริงเหรอ ที่เราทำได้ทุกอย่าง” “งั้น เราจะบิน เราจะทำได้ไหม” “งั้นเราจะหารายได้สักพันล้านภายใน 1 วัน เราจะทำได้ไหม”

เข้าใจครับว่า สิ่งเหล่านั้นมันทำได้ยากมาก ๆ แต่ข้อความที่ผมต้องการสื่อ ไม่ใช่แบบนั้นครับ

ผมกำลังจะพูดถึง Mindset มากกว่าครับ

เอางี้ครับ จำตอนที่เราเป็นเด็ก ๆ กันได้ไหมครับ หรือถ้าใครอายุมากพอสมควรแล้ว (หรือเรียกง่าย ๆ ว่าแก่นั่นแหละ 555) ลองไปถามเด็ก ๆ ดูว่า เขาอยากเป็นอะไร

เราจะเห็นว่าคำตอบของเขาช่างไร้ข้อจำกัดซะเหลือเกิน เช่น อยากเป็นมนุษย์อวกาศ อยากเป็นซูเปอร์แมน ฯลฯ

คำว่า “เป็นไปได้ หรือ เป็นไปไม่ได้” มันแทบไม่ได้อยู่ในหัวเขาเลย

แต่พอเด็ก ๆ เหล่านั้นโตขึ้นมา เจอกรอบความคิดของสังคม เพื่อสอนว่า “อย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อ” “เอาความจริง” “นี่มันชีวิตจริงนะ ไม่ใช่นิยาย” ความฝัน จินตนาการ เหล่านั้น มันก็หดหายไปเรื่อย ๆ เพราะเราไม่ได้ใช้มันเลย ทุกวันนี้ เราเลยอยู่กับคำว่า “ยาก” “เป็นไม่ได้หรอก” อยู่เป็นประจำ

และเชื่อไหมครับว่า ความคิดเหล่านี้แหละครับที่มันมีส่วนหยุดยั้งความสำเร็จของเรา

แม้กระทั่งคนที่ประสบความสำเร็จสูง ๆ ก็มีความคิดแบบนั้นเช่นกัน เอาเป็นนักกีฬาก็ได้ครับ เราจะเห็นนักกีฬาบางคนขึ้นไปอยู่อันดับสูงสุดอยู่เพียงแป๊บเดียว เสร็จแล้วก็ร่วงลงมา ในขณะที่นักกีฬาบางคน ขึ้นไปอยู่อันดับสูงสุดในระยะเวลาที่ยาวนานมาก

ทั้ง ๆ ที่สองคนนี้ จริง ๆ ความสามารถในกีฬานั้น ๆ อยู่ในระดับสุดยอดด้วยกันทั้งคู่ แต่ความแตกต่างมันอยู่ที่ Mindset ครับ

คนที่อยู่อันดับสูงสุด แต่อยู่ได้ไม่นาน เขาเริ่มมี Mindset ว่านี่คือที่สุดแล้ว การพัฒนาให้ดีกว่านี้ แทบเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาเริ่มหลบเลี่ยงสิ่งที่มันท้าทาย เขาเริ่มไม่ลงแข่งในการแข่งขันที่มันอาจจะไม่ยากนัก เพราะกลัวเสียหน้าถ้าแพ้ และในที่สุด ฝีมือเขาก็ตกลงไปจริง ๆ

ต่างจากคนที่เป็นที่หนึ่งในระยะเวลานาน คนเหล่านี้ยังมีความเชื่อว่า เขายังพัฒนาไปได้อีกเรื่อย ๆ มีการแข่งขันอะไร เขาลงแข่งหมด เพื่อฝึกฝน ความพ่ายแพ้ สำหรับเขาคือการเรียนรู้ และนำไปพัฒนา จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเขาถึงยังอยู่ในระดับสูงสุดได้นานขนาดนั้น

สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาไม่มีคำว่า “ล้มเหลว” อยู่ในพจนานุกรมของเขาเลยครับ ถ้าเขาทำได้ เขาก็เรียกมันว่า “ความสำเร็จ” ถ้าเขายังทำมันไม่ได้ เขาจะเรียกมันว่า “การเรียนรู้”

เพราะฉะนั้น เวลาเราทำอะไรที่ “ยัง” ไม่สำเร็จ ลองถามคำถามนี้กับตัวเองอยู่เสมอครับว่า

“เราได้เรียนรู้อะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้”

เช่น ถ้าเราเป็นนักกีฬา พอไปแข่งขันแล้วเราแพ้ตกรอบ ก็ถามคำถามนี้ ถ้าเราเป็นนักเรียน พอสอบแล้วก็ไม่ได้รับการคัดเลือก ก็ถามคำถามนี้

คำถามนี้แหละครับที่จะเปลี่ยนตัวเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดเรียนรู้ครับ เพราะการหยุดเรียนรู้ เท่ากับการหยุดพัฒนา และการหยุดพัฒนา ก็เป็นเหตุที่ทำให้เราไม่สำเร็จต่อไป ถึงแม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต

ลองปรับ Mindset กันดูนะครับว่า เราสามารถทำได้ เรายังดีกว่านี้ไปได้อีก แล้วชีวิตเรามันจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เพียงแค่เปลี่ยนแนวคิดนี้แหละครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

ผมว่าถ้า Warren Buffet มาเริ่มต้นเล่นหุ้นใหม่ก็อาจจะไม่รวยเท่านี้

อ้าว ชื่อหัวข้อนี้ ล่อเป้าซะแล้ว แหม ผมเป็นใคร รวยแค่ไหน เล่นหุ้นได้อย่างเขาหรือเปล่า อยู่ดี ๆ มาว่า Buffet ไม่ได้เรื่องเหรอไง เขามีผลงานให้เห็นชัดเจนว่าวิธีที่เขาใช้แล้วมันสำเร็จ จะมา question เขาเหรอ ผมล่ะ เล่นหุ้นแล้วรวยได้สัก 1% ของเขาได้หรือเปล่า (0.1% ยังไม่ถึงเลยครับ 555) แล้วถือดีไง มาบอกแบบนี้

ใจเย็น ๆ ครับ อ่านให้จบก่อน 555

คืองี้ครับ ที่ผมกำลังจะสื่อ ไม่ใช่จะบอกว่า Warren Buffet ไม่เก่ง รวยเพราะฟลุ้ก นะครับ จริง ๆ Buffet เป็น Idol คนหนึ่งของผมเหมือนกันครับ

แต่ผมมีทฤษฎีอันหนึ่ง ที่ผมได้มาจากการอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม เล่นหุ้นมาก็ 20 กว่าปีละ ยิ่งเห็นตลาดหุ้นมามากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผมเชื่อในทฤษฎีนี้มากเท่านั้น

คือผมเชื่อว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้นมันมี 3 ปัจจัยที่สำคัญครับ อันแรกคือ ความรู้ อันที่สองคือ Mindset และ อันสุดท้ายคือ ความบังเอิญ หรือที่เรามักจะเรียกว่า โชค นั่นแหละครับ

และจริง ๆ แล้ว ผมว่าไม่ว่าจะเรื่องใด ความสำเร็จมันก็จะมาจาก 3 ปัจจัยนี้ทั้งนั้นแหละครับ

คราวนี้ที่ผมเชื่อว่า “ถ้า Warren Buffet มาเริ่มเล่นหุ้นใหม่ ก็อาจจะไม่รวยเท่านี้” เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมเชื่อว่า ถึงแม้ว่า Buffet จะความรู้เชี่ยวชาญเหมือนเดิม มี Mindset ในการเล่นหุ้นที่ถูกต้องเหมือนเดิม แต่ที่ผลมันอาจจะไม่เท่าเดิม ก็เพราะตัวแปรสุดท้ายที่เรียกว่า “โชค” นั่นแหละครับ

ตัวแปรนี้แหละครับ ที่เป็นตัวแปรที่เราควบคุมไม่ได้ ผมเชื่อว่ามีคนที่อ่านงบ วิเคราะห์งบได้เก่งไม่แพ้ Buffet หลายคน ขยันศึกษาหาความรู้ไม่แพ้ Buffet ก็หลายคน และก็มี Mindset ในการลงทุนที่ถูกต้องก็หลายคน แต่เราก็ยังมี Buffet อยู่คนเดียว ทำไมเหรอครับ เพราะตัวแปรที่ 3 ที่เรียกว่า โชค หรือ ความบังเอิญนี่แหละครับ

เพราะถ้ามีแค่ความรู้และ Mindset ที่ถูกต้อง ก็ทำให้ประสบความสำเร็จสุด ๆ แล้ว ถ้างั้น เราจะต้องมี Buffet หลายร้อย หลายพันคนแล้ว ผมเชื่ออย่างนั้น

ที่สำคัญผมยังเชื่ออีกว่า ในตลาดหุ้นนั้น มันมีปัจจัยที่มันควบคุมได้ยากมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ครับ

เอาเรื่องกีฬามาเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ สมมุติว่า Michael Jordan นักบาสเก็ตบอลระดับตำนาน สามารถย้อนเวลากลับไปเล่นบาสใหม่ ย้อนไปตอนอยู่ high school เลย ท่านคิดว่าเขาจะกลายเป็นตำนานนักบาสเหมือนเดิมไหมครับ

น่าคิดนะครับ เพราะบางที เขาอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบที่เขาเป็นก็ได้ แต่ผมก็เชื่อว่า หลาย ๆ คนก็ยังคิดว่า ยังไงเขาก็น่าจะประสบความสำเร็จไม่มากก็น้อยแหละ ความสามารถเขาระดับนั้น แถมยังมี winning mindset อีก

ผมก็เชื่ออย่างนั้นแหละครับ เพราะผมว่า ในเกมกีฬา ถึงแม้โชคจะเข้ามามีส่วนบ้าง แต่ต้องยอมรับว่า มันก็มีไม่มากนัก ถ้าเทียบกับ ความสามารถและ Mindset ของนักกีฬา Michael Jordan อาจจะไม่ได้แชมป์เยอะขนาดนั้น แต่ก็อาจจะได้หลายแชมป์เหมือนเดิม

แต่ผมว่าตลาดหุ้น มันมีปัจจัยที่ control ไม่ได้หลายอย่าง ที่มันอาจจะทำให้ผลลัพธ์มันเปลี่ยนไปได้เลย ถึงแม้ว่า ระดับของความรู้ กับ Mindset ยังคงเหมือนเดิม

แล้วไงเหรอครับ แปลว่า งั้นอย่าเล่นหุ้นเลย หาความรู้ไปก็เท่านั้น มี Mindset ถูกก็เท่านั้น เพราะในที่สุดแล้วมันก็ดวงล้วน ๆ เหรอ (ถามจริง ๆ ตอนเขียนเรื่องนี้ ติดดอยหุ้นอยู่ใช่ป่ะ 555)

ไม่ใช่เลยครับ ไม่ใช่เลย สิ่งที่ผมกำลังจะสื่อคือ ที่ผมว่าตัวแปร 3 ตัวนี้มันส่งผลต่อความสำเร็จนั้น ในทฤษฎีผมมันมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญอยากจะบอกครับ

คือผมเชื่อว่า เมื่อถ้าเราทำให้ปัจจัยเรื่องความรู้กับ Mindset มันดีขึ้น ปัจจัยเรื่องความบังเอิญมันจะลดลงโดยอัตโนมัติครับ!!

เหมือนแบบนี้ครับ สมมุติว่าผลรวมของปัจจัยทั้ง 3 มันจะเท่ากับ 100 คะแนนเต็ม ถ้าปัจจัยเรื่องความรู้กับ Mindset มันอยู่ที่ 50 ก็แปลว่าจะมีเรื่องโชคอีก 50 แต่ถ้าเราหาความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปรับ Mindset ในการลงทุนให้ถูกต้อง จนกระทั่ง 2 อันนี้มีคะแนนอยู่ที่ 70 แปลว่าเรื่องโชคชะตาก็จะเข้ามามีส่วนแค่ 30 เท่านั้น!!

คิดง่าย ๆ ครับ ถ้าท่านเข้ามาในตลาดหุ้น แบบไม่มีความรู้ใด ๆ มี Mindset แบบอยากรวยเร็วอย่างเดียว เรียกว่าทั้งสองอย่างอยู่ในระดับ 0 แล้วก็จิ้มหุ้นมั่ว ๆ ตามข่าวกระซิบต่าง ๆ เล่นหุ้นแบบนี้มันก็เหมือนกับเข้าบ่อนไหมครับ เพราะท่านต้องอาศัยโชค 100% เต็มเลย ใช่ครับ บางที ท่านอาจจะได้บ้าง (โชคดี) แต่ที่สุดแล้ว ท่านก็เสียจนได้ (โชคร้าย)

แต่ถ้าท่านหาความรู้เพิ่มขึ้น ปรับ Mindset เรื่องการลงทุนให้ดีขึ้น ปัจจัยเรื่องโชคมันก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่มันก็ยังคงต้องมีอยู่ครับ บางที ดูแล้วหุ้นนี้ดี อ่านงบ ดูกราฟแล้วใช่ แต่ซื้อไปก็ยังผิด (โชคร้าย เจอเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง) ก็ยังมีจริงไหม แต่โอกาสจะเกิดขึ้นมันก็จะน้อยลง

Buffet เขาอาจจะมีความรู้และ Mindset อยู่ในระดับที่ 90 ก็ได้ แต่ยังไงก็ตาม มันก็ยังมีส่วนของโชคอยู่ดี และผมไม่เชื่อว่าจะมีใครที่สามารถมีความรู้และ Mindset อยู่ในระดับที่ 100 โดยจะไม่มีปัจจัยเรื่องโชคหรือความบังเอิญเข้ามาทำอะไรได้เลย

แต่ส่วนที่เราสามารถปรับปรุงตัวเองได้ คือเรื่องความรู้กับ Mindset นี่แหละครับ ยิ่งทำให้ดีมากขึ้นเท่าไร โชคก็ทำอะไรกับเราได้น้อยเท่านั้น

พยายามเพิ่มสองสิ่งนี้ให้มากที่สุดนะครับ ถ้าท่านทำเต็มที่แล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อันนั้นเราก็ควบคุมไม่ได้แล้วจริงไหมครับ แต่อย่างน้อย มันก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียใจอีกต่อไป เราจะได้ไม่ต้องมาพร่ำบ่นว่า “รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้งี้” นะครับ 555

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho