หรือว่าการเรียนไม่ควรมีเกรด

ผมเชื่อว่าท่านที่ได้อ่านบทความนี้ ได้เคยผ่านการเรียนที่ตอนสุดท้ายถูกตัดสินด้วยเกรดกันมาแล้วทั้งนั้น เราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า ทำไมต้องมีเกรดด้วย เรารู้เพียงว่า อาจารย์บอกให้มีก็มี และก็เป็นหน้าที่เราที่ต้องทำให้เกรดดี ๆ เพราะผู้ใหญ่เขาชื่นชมเรา เวลาเราเกรดดี ๆ

นอกจากนี้ เกรดดี ๆ มันก็มีส่วนช่วยทำให้เราได้งานดี ๆ ด้วย เพราะที่ทำงานส่วนใหญ่ก็ดูเกรดนี่แหละว่า เกรดดีไหม บางแห่งถึงกับมีกฎด้วยซ้ำไปว่า เกรดไม่ถึงเท่านี้ ไม่ต้องมาสมัครเลยนะ และนี่แหละครับ มันก็เลยทำให้เกรดกลายเป็นตัวเลขที่สำคัญในชีวิตเราไป

ผมสอนเรื่องการวัดผลครับ จริง ๆ แล้วผมควรจะสนับสนุนด้วยซ้ำว่า เราควรวัดผล เราควรมีเกรด แต่ผมกลับมองอีกอย่างครับ…

ผมมองว่า ใช่ครับ เกรดมันอาจจะสะท้อนความรู้ทางวิชาการได้ระดับหนึ่ง แต่มันก็เป็นตัววัดเพียงตัวเดียวเท่านั้น ตามหลักการวัดผลทั่วไป สิ่งที่สำคัญที่สุดมันไม่ใช่ค่าตัวเลขที่ได้จากตัววัดนั้น แต่คือการใช้เพื่อการพัฒนาต่างหาก

ผมลองท้าทายความคิดว่า ถ้าเราไม่มีเกรดจะเกิดอะไรขึ้น….

สมมุติว่า ต่อไปนี้ ทุกบริษัทประกาศนโยบายว่า ไม่ต้องเอาเกรดมาให้ดู เพราะเขาไม่สนว่าใครจะเกรดเท่าไร (เหมือนที่ Google ก็ได้ประกาศมาแล้ว) หรือทุกคนเลิกสนใจเรื่องเกรด อะไรจะเกิดขึ้น

ใช่ครับ การวัดผลจำเป็นต้องมี แต่ถ้าเราจะใช้การวัดเชิงคุณภาพล่ะ

เรายังอาจจะมีการสอบเหมือนเดิมก็ได้ครับ แต่เราไม่ต้องให้คะแนนเป็นตัวเลข เราให้ข้อคิดเห็นแทนเช่น ผมอ่านข้อสอบแล้ว เห็นว่านักศึกษายังขาดความรู้เรื่องใด ควรเสริมเพิ่มเติมเรื่องใด ผมก็เขียนแนะนำไป

แล้วคำถามว่า อ้าว งั้นไม่มีเกรด คนที่ไม่ตั้งใจเรียน ก็จะจบไปแบบไม่มีคุณภาพน่ะสิครับ

คำตอบคือ เรื่องเกรด กับ เรื่องจบ มันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันเสมอไปนะครับ เช่นผมอ่านข้อสอบของนักศึกษาบางคนแล้วพบว่า เขาไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย (อาจจะไม่ได้เข้าเรียนเลย หรือเข้าใจผิดกันไปคนละเรื่องเลย) ผมก็เขียนให้ comment เขาไว้ แล้วก็ไม่ได้ให้เขาผ่านวิชานี้เท่านั้น

เพียงแต่ว่า ผมไม่จำเป็นต้องให้คะแนนเขา 10/100 แล้วก็ให้เกรด F ใน Transcript เขา แปลว่า เทอมนี้ไม่รู้เรื่อง เขาก็ไม่ได้ credit วิชานี้ไปก็เท่านั้น เทอมหน้าก็ลงทะเบียนใหม่ มาเรียนใหม่ จนกระทั่งความรู้พอ ผมก็ให้ Credit วิชานี้ไปครับ

เพราะฉะนั้นใน Transcript เขาก็จะมีแต่วิชาที่เขาเรียน “ผ่าน” ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมว่าคนเรียนจะไม่กลัวความล้มเหลว เพราะมันจะไม่มีตราบาปเหมือนมี Grade F อยู่ใน Transcript เขาตลอดไป ซึ่งบางทีไปส่งผลต่อการสมัครงานอีก (บางแห่ง บอกเลยครับว่า ได้ F จะไม่รับเข้าทำงาน ไม่ต้องอื่นไกล รับสมัครอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ แล้วเกรด F นี่มันก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับแก้ได้ซะด้วย แล้วถ้าเขามาตั้งใจเรียนทีหลังตอนเรียนโท เรียนเอก มันก็ไม่ได้ช่วยเขานะครับ เพราะกฏว่าไว้แบบนั้น)

นักเรียน นักศึกษา จะกล้าคิดนอกกรอบมากขึ้น กล้าทำอะไรที่เสี่ยงมากขึ้น เพราะถ้าพลาด อย่างมากก็ลงทะเบียนเรียนใหม่ก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าพลาด แล้วจะทำให้เขาต้องได้เกรดต่ำไปตลอดชีิวิต แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ก็แค่ลองคิด ๆ ดูนะครับ บางทีการไม่มีเกรด มันอาจจะดีสำหรับผู้เรียน และ ผู้สอนด้วยซ้ำไป เราจะได้มาเน้นเรื่องความรู้กันจริง ๆ สักที แทนที่ผู้เรียนจะต้องมาถามผู้สอนหรือมานั่งเก็งข้อสอบว่าจะออกสอบอะไร จะได้อ่านเฉพาะสิ่งนั้น แทนที่ผู้สอนจะต้องมานั่งให้คะแนน ตัดเกรด แล้วก็ต้องคอยตอบคำถามว่า ทำไมผมหรือหนูไม่ได้ A ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้ add value สักเท่าไร

อย่างที่บอกครับ ผมว่าประโยชน์ของการวัดผล อยู่ที่การนำผลที่ได้ไปใช้ในการพัฒนา ผมยังมองว่า “ข้อแนะนำ” ที่คุณครูหรืออาจารย์มีให้ต่อผู้เรียน มันน่าจะมีประโยชน์มากกว่าเลขตัวเดียวที่เรียกกันว่า “เกรด” อีกนะครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

 

เราวัด GPA กันไปทำไม

ผมว่าเกือบทุกคนน่าจะรู้จักคำว่า “Grade Point Average” หรือเรียกย่อ ๆ ว่า GPA นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังเรียนอยู่ ยิ่งน่าจะรู้จักดีเข้าไปใหญ่

ในฐานะอาจารย์ผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัย ผมก็เห็นว่านักศึกษาเกือบทุกคน ก็สนใจเรื่องนี้ สังเกตได้จากคำถาม ประมาณว่า “อาจารย์ตัดเกรดอย่างไร” “คะแนนเท่านี้ มีลุ้น A ไหม” “อาจารย์ตัด F ที่เท่าไร” ซึ่งเป็นคำถามที่เจออยู่เรื่อย ๆ ครับ

คราวนี้ ผมลองมานั่งนึกดูว่า เอ จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เราให้ความสำคัญ มักจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดี ดังนั้น สิ่งที่เราให้ความสำคัญ จึงควรเป็นสิ่งที่ “สำคัญ” จริง ๆ แล้ว GPA มันสำคัญจริง ๆ หรือ หรือมองลึกไปอีกระดับหนึ่งคือ เอ แล้ว “เราวัด GPA กันไปทำไม”

อ้าว บางคน อาจจะอยากจะบอกว่า อาจารย์ไม่รู้เหรอ ก็เราวัด GPA ไปเพื่อบอกระดับความรู้ของเราในเรื่องนั้น ๆ ไง ถ้าเรารู้เยอะ Grade มันก็ดี และ GPA มันก็สูงไง

อันนั้นผมทราบครับ แต่ผมยังมีคำถามต่ออีกว่า สุดท้ายแล้ว ถ้า GPA มันวัดความรู้ ซึ่งแปลว่าคนที่มี GPA สูงจะรู้เยอะกว่าคนที่มี GPA ต่ำ และถ้าเราเชื่อว่าความรู้น่าจะนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น คนที่มี GPA สูง ๆ ก็น่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มี GPA ต่ำ ๆ เสมอ จริงไหม

พอมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะส่ายหน้าว่า “ไม่จริง” เพราะคงเห็นหลักฐานมาไม่น้อยว่า GPA หลายครั้งมันไม่เกี่ยวกับความสำเร็จ

อาจจะเป็นเพราะว่า จริง ๆ แล้ว “ความสำเร็จ” มันมาจากหลายปัจจัย นอกเหนือจาก “ความรู้” ซึ่งเราตั้งสมมุติฐานว่าวัดจาก GPA แต่มากยิ่งไปกว่านั้น ผมว่าถ้า GPA มันวัด “ความรู้” จริง ๆ แล้วล่ะก็ มันก็วัด “ความรู้ในขณะเวลาที่ทดสอบ” เท่านั้น มันไม่ได้วัดความรู้เรื่องนั้น ตลอดเวลา

พูดง่าย ๆ ว่า GPA มันเป็นตัววัด “ความรู้ในอดีต” มากกว่า เอาง่าย ๆ ผมเรียนจบปริญญาตรี วิศวกรรมเคมีมา ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ถ้า GPA จะวัดระดับความรู้ทางด้านวิศวกรรมเคมี ก็วัดความรู้ของผมเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เพราะตอนนี้ ใครเอาสมการทางวิศวกรรมเคมี มาให้ผมอ่าน ผมรับรองว่าผมไม่รู้เรื่องเลย ทั้ง ๆ ที่ GPA ผมก็ยังเท่าเดิม

พูดง่าย ๆ ว่า GPA มันมี “อายุ” ของมัน ยิ่งนาน ตัววัดนี้ ก็ยิ่งล้าสมัย นั่นเป็นสาเหตุว่า เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่าไร เรามีอายุมากขึ้นมากเท่าไร เวลาเราสมัครงาน GPA มันจะมีผลน้อยลงเท่านั้น

ดังนั้น ผมจึงมักจะไม่ค่อยเห็นด้วย ที่ตำแหน่งงานหลาย ๆ ตำแหน่ง ยังมีข้อกำหนดเรื่อง GPA อยู่ว่าต้องได้ไม่ต่ำกว่า เท่านั้น เท่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำแหน่งบางตำแหน่ง คนที่สมัครมา อายุ 40 กว่าปีแล้ว GPA แทบไม่ได้บอกอะไรในสถานะปัจจุบันเขาเลย กลายเป็นว่า การที่ตอนเขาจบปริญญาตรี เขาได้ GPA ต่ำ แต่ปริญญาโท เอก เขาทำได้ดีขึ้น ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน กลับไม่สามารถสมัครตำแหน่งงานนั้นได้ เพราะตกเกณฑ์ GPA ขั้นต่ำในระดับปริญญาตรี ซะงั้น!

สำหรับผมแล้ว นอกจาก GPA มันจะบอกเพียงแค่ความรู้ในอดีตแล้ว ผมยังมองอีกว่า GPA มันบอก “ระดับความชอบ” ในเรื่องนั้น ๆ ด้วย

การที่เราได้เกรดไม่ดีในวิชาใดวิชาหนึ่ง (หรือหลาย ๆ วิชา) มันสะท้อนให้เห็นว่า เรา “ไม่ชอบ” ในวิชานั้น ๆ มากกว่า ดังนั้นสำหรับผม ผมไม่ได้มองว่าคนที่ได้ GPA ต่ำกว่าเพื่อน เป็นคนที่ฉลาดน้อยกว่าเพื่อน ผมมองว่าเขาแค่ไม่ชอบเรื่องนั้น ในขณะที่เพื่อนเขาชอบมากกว่า ก็เท่านั้น

ดังนั้น สำหรับผม GPA มันเป็นตัววัดที่บอกถึงความหลากหลายในความชอบของเรา ถ้าเรามองมันดี ๆ เราจะพบว่า มันมีบางเรื่องที่เราชอบ และทำได้ดี บางเรื่องที่เราไม่ชอบ เราก็เลยทำได้ไม่ดีนัก

และผมเชื่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่ทำได้ดีในทุกเรื่อง แต่เป็นคนที่ทำได้ดีมาก ๆ ในเรื่องที่เขาชอบต่างหาก

ใครกำลังเรียนอยู่ หรือ เพิ่งจบการศึกษา ลองกลับไปมอง Transcript ของตัวเองอีกครั้งนะครับ และอาจจะค้นพบตัวเราเองจาก Transcript นั้นก็ได้ครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho