บางทีโชคก็มาในเวลาที่เราไม่ทันมอง

บางทีโชคก็มาในเวลาที่เราไม่ทันมอง ดังนั้นลองมองรอบ ๆ ตัวเราให้ดี ในเวลาต่าง ๆ แล้วเราอาจจะพบโชคโดยที่ไม่คาดคิดไว้ก็ได้ครับ

Continue reading

6 วิธีสร้างโชคดีให้ตัวเอง

ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าเรื่องที่กำลังจะเขียนนี้ ไม่ใช่เรื่องฮวงจุ้ย หรือว่าจะไปไหว้พระวัดไหนดี ที่จะทำเพื่อให้เราโชคดี ซึ่งอันนี้ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของผมเลยครับ

แต่สิ่งที่กำลังจะเขียนนี้ มาจากการอ่านหนังสือชื่อ How luck happens ซึ่งเขียนขึ้นโดย Janice Kaplan และ Barnaby Marsh ซึ่งเป็นหนังสือที่ผมชอบมากที่สุดเล่มหนึ่งเลยครับ

คือหนังสือเขาบอกว่า โชค หรือที่เรียกว่า Luck นั้น มันไม่ใช่ โชคอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน คือ เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน แต่ที่จริงแล้ว โชค มันเกิดขึ้นจาก 3 องค์ประกอบ คือ 1) ความสามารถ 2) การทำงานหนัก และ 3) เหตุบังเอิญ

จะสังเกตว่าเหตุบังเอิญ ที่เราควบคุมไม่ได้นั้น มันแค่ 1/3 เท่านั้น อีก 2/3 คือความสามารถและการทำงานหนัก คือสิ่งที่เราควบคุมได้ทั้งสิ้น

เอาล่ะสิครับ พออ่านถึงตรงนี้ มันก็แปลว่า เราสามารถจัดการ “โชค” ของเราได้ คือ เราก็ต้องเพิ่มความสามารถ และ เราต้องทำงานให้หนักขึ้น (เฉพาะในส่วนที่เราต้องการให้เกิดโชคนะครับ) มันเริ่มชักสนุกขึ้น เพราะว่า มันกำลังแปลว่า เราสามารถสร้างโชคให้กับตัวเองได้เลย

มาลองดูวิธีการสร้างโชค (ดี) ให้กับตัวเองกันนะครับว่า เราควรทำอะไรบ้าง

1. เราควรจะไปอยู่ที่ที่โชคอยู่

เหมือนกับเวลาเราอยากเจอใคร เราก็ควรจะไปในที่ที่คนคนนั้นน่าจะอยู่ใช่ไหมครับ โชคก็เช่นกันครับ เช่น ถ้าเราอยากเป็นดารา ก็ต้องหาทางไปอยู่แถว ๆ กองถ่ายให้มากที่สุด นี่คือเหตุผลที่คนอยากเป็นดาราในอเมริกา เขามักจะย้ายถิ่นฐานไปอาศัยแถวย่านฮอลลี่วู้ด ซึ่งเป็นที่ที่ผู้กำกับชื่อดัง ดาราต่าง ๆ เขาอยู่กันเยอะ ทำไมเหรอครับ ก็เพราะมันเป็นการเพิ่มโอกาสที่วันหนึ่ง เราจะไปเจอใครสักคนในวงการ และก็สามารถดึงเราเข้าไปสู่วงการได้ ถ้าขืนเราไปอยู่ตามป่าเขา แล้วหวังว่า วันหนึ่งจะมีผู้กำกับชื่อดังมาเที่ยว แล้วเดินชนเรา แล้วดึงเราไปเป็นนักแสดง แบบนี้มันยากกว่าเยอะจริงไหมครับ

2. รู้จักคนให้เยอะขึ้น

โชคมาพร้อมกับคนที่เรารู้จักนี่แหละครับ พยายามรู้จักคนให้มากขึ้น ไม่จำเป็นว่าคนคนนั้นเขาจะอยู่ในวงการที่เราอยากเข้าไปหรือไม่ก็ตาม เพราะใครจะไปรู้ครับว่าเพื่อนสนิทเขาอาจจะอยู่ในวงการนั้น หรือภรรยาหรือสามีเขาอาจจะรู้จักคนที่เราอยากรู้จักก็ได้ มีงานวิจัยในต่างประเทศพบว่า คนส่วนใหญ่ได้งานทำ ไม่ใช่ผ่านทางเพื่อนสนิทนะครับ แต่ผ่านคนรู้จักห่าง ๆ นี่แหละครับ บางทีไปงานปาร์ตี้ พูดคุยกับคนที่เพิ่งรู้จัก ก็เลยทำให้รู้ว่าเขากำลังจะหาคนทำงาน ในตำแหน่งที่เราอยากทำพอดี แบบนี้หลายคนอาจจะบอกว่าโชคดีเนอะ แต่มองให้ดีครับ คือถ้าเราไม่ไปงาน ไม่ไปพบคนเหล่านี้ เลย โชคแบบนี้มันจะมาหาเราเองไหมครับ

3. กล้าที่จะทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น

คือหลักการมันง่าย ๆ แบบนี้ครับ ถ้าเราทำเหมือน ๆ กันกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ ผลลัพธ์มันก็จะเหมือนกับคนอื่น ๆ จริงไหมครับ แล้วลองคิดดูครับว่า คนส่วนใหญ่มีโชคกันไหมล่ะครับ คำตอบก็คือไม่ ดังนั้น บางทีเราอาจจะต้องกล้าทำอะไรที่แปลกใหม่ แตกต่างออกไป อย่างเช่นเราเข้าประกวดแผนธุรกิจ แต่เราไปนำเสนอแผนทำร้านกาแฟ ซึ่งมันเหมือน ๆ กันกับคนส่วนใหญ่ แบบนี้จะหวังว่าเราจะชนะแผนธุรกิจนี้ ได้เงินลงทุนจากนักลงทุน ก็คงยากมาก เพราะมันไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ถ้าเราคิดอะไรแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร แบบแนวหลุดโลกไป ผลลัพธ์มันอาจจะเป็นว่า โดนด่าก็ได้ ว่าคิดมาได้ไงเนี่ย (ก็ไม่เสียหายอะไร) แต่มันก็มีโอกาสที่มันไปสะดุดใจใครสักคน และเขาอาจจะเอาเงินมาลงทุนกับเรา และนั่นแหละครับที่คนหลาย ๆ คนมักจะบอกว่า แหม เรา “โชคดี” นะ ที่ไป “บังเอิญ” เจอคน ๆ นี้เข้า

4. มีใจรักในสิ่งที่ทำและไม่ล้มเลิก

บางคนอ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะนึกอยู่ในใจ เราก็ไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่นะ รู้จักคนก็ไม่น้อย ทำอะไรก็ไม่เหมือนคนอื่น ไม่เห็นจะมีโชคเลย บทความนี้หลอกหรือเปล่า คืองี้ครับ เราจะไปหวังว่า เราไปในที่ที่มีงานที่เราสนใจ ทำความรู้จักคน และทำอะไรแตกต่าง แต่พอไม่เห็นผลอะไรเกิดขึ้น ก็เลิก แบบนี้ “โชค” ไม่ชอบครับ (โชคไม่ใช่ชื่อคนนะครับ 555)

มันเป็นไปตามหลักของความน่าจะเป็นแหละครับ การทำในสิ่งต่าง ๆ ที่มันดึงดูดโชคดีนั้น มันไม่ใช่แค่ว่าทำครั้งเดียวแล้วจะได้ผลเลย มันต้องทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งเราจะทำแบบนั้นได้ เราก็ต้องมีใจรักในสิ่งที่ทำด้วยจริงไหมครับ เคยสังเกตไหมครับ คนที่เราคิดว่าเขา “โชคดี” นั้น เขามักจะโชคดีในสิ่งที่เขารัก และทำมาอย่างต่อเนื่องตลอด

นักเขียนดัง ๆ ที่เรารู้จักนั้น คิดเหรอครับว่าเขาหยิบปากกามาเขียนครั้งแรก เขาก็ดังเลย ดาราดัง ๆ ที่เรารู้จักนั้น คิดเหรอครับว่าเขาเล่นเรื่องแรกก็ดังคับฟ้าทันที นักกีฬาที่เก่ง ๆ ระดับโลก คิดเหรอครับว่าพอเขาเริ่มเล่นกีฬาเหล่านั้น เขาก็ได้เหรียญทองโอลิมปิกเลย เอาเป็นว่าถ้ามีก็น้อยมาก ๆ ส่วนใหญ่แล้ว คนเหล่านี้ผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่เขารักในสิ่งที่เขาทำ แล้วเขาทำไม่เลิก นักเขียนเขียนบทความแล้วคนไม่อ่าน แต่เขาไม่หยุดเขียน เขียนไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่ง ก็มีสำนักพิมพ์มาเห็นแล้วให้เขาออกหนังสือ แล้วหลังจากนั้นหนังสือนั้นก็ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่ว คนทั่วไปก็จะบอกว่า เขาโชคดีเนอะ ที่สำนักพิมพ์มาเห็นบทความนั้น จะเรียกว่าโชคดีก็ได้ครับ แต่บทความที่สำนักพิมพ์นั้นมาเห็นนั้น อาจจะเป็นบทความหนึ่งใน 1,000 บทความที่เขาเขียนมาแล้วก็ได้

มีนักกีฬา ถ้าผมจำไม่ผิดคือนักบาสเกตบอล (แต่จำไม่ได้ว่าใคร) ให้สัมภาษณ์ตอบคำถามว่า เขามีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เขาทำแต้มรวมได้เยอะมาก ๆ เขาตอบยังไงทราบไหมครับ ถ้าอยากทำคะแนนให้ได้เยอะ ๆ เราก็แค่ชู้ตบอลให้พลาดเยอะ ๆ ก็แค่นั้น ฟังดูแล้วตลกนะครับ แต่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย เพราะยิ่งเราชู้ตพลาดมากเท่าไร ก็แปลว่าเราก็จะมีโอกาสทำคะแนนจากการที่จะชู้ตลงมันมากขึ้นเท่านั้น สมมุติเรามีอัตราการชู้ตลง 50% คือชู้ต 2 ลูก ลงลูกเดียว ถ้าอยากชู้ตลง 100 ลูก เราก็แค่ชู้ดให้ไม่ลง 100 ลูกไงครับ (คือชู้ดไปสัก 200 ลูก) นี่แหละครับ ที่คนโชคดีเขามักจะทำกัน

5. ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง

อันนี้หลายคนอาจจะแปลกใจ อ้าว ไม่ใช่ว่าเราต้องทำอย่างเดียวให้ดีที่สุดเหรอ คืองี้ครับ คนที่โชคดี เขาไม่รู้หรอกครับว่าเขาจะโชคดีเพราะอะไร จากสิ่งไหน การที่เราไป focus แค่อย่างเดียว แล้วรอลุ้นว่า มันจะมีโชคหรือเปล่า มันก็อาจจะได้ แต่มันอาจจะยาก ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ครับ Venture Capital คือพวกบริษัทที่ลงทุนใน Startup นั้น เขาลงทุนใน Startup ที่ดีที่สุดบริษัทเดียวไหมครับ คำตอบคือ ไม่ใช่ ครับ เพราะอย่างที่เราทราบ ๆ กันว่า Startup นั้นโอกาสที่มันจะล้มเหลวมันสูงมาก อาจจะถึง 90% ด้วยซ้ำ ดังนั้น การเอาเงินทั้งหมดไปลงในบริษัทเดียว ใช่ครับ ถ้าบริษัทนั้น สำเร็จขึ้นมา เราจะรวยเละเลย แต่ส่วนใหญ่ มันจะลงเอยด้วยการเละก่อนรวยครับ

แล้วทำไงดีครับ พวกบริษัทพวกนี้ เขาทราบครับ ดังนั้น เขาก็จะเลือก Startup ที่เข้าตามาสัก 1o บริษัท กระจายการลงทุนไป ใช่ครับ 9 ใน 10 บริษัทนี้อาจจะเจ๊ง (เพราะโอกาสเจ๊งมันสูงถึง 90%) เขาอาจจะหมดเงินไป 9 ใน 10 ของเงินที่เขาลงทุนไป แต่บริษัทสุดท้ายนี่แหละครับ ที่มันอาจจะกลายเป็น Facebook Google Amazon แล้วทราบไหมครับว่าผลตอบแทนมันเท่าไร ใช่ครับ 100 เท่า 1,000 เท่าของเงินลงทุนเลย

คนที่ไม่ทราบก็จะมาบอกว่า โห คนนี้โชคดีนะที่ซื้อหุ้น Google ตั้งแต่ตอนก่อตั้ง คนนี้โชคดีนะที่ร่วมลงทุนใน Facebook ตั้งแต่แรก ๆ โชคดีเหรอครับ 555 มันมาจากการวางแผนทั้งนั้นแหละครับ เขาไม่ได้เล่าให้ฟังนี่ครับว่า ส่วนใหญ่ที่เขาลงทุนกับบริษัทอื่น ๆ พร้อมกับ Google นั้น มันเจ๊งไปกี่รายแล้ว

อ้อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ได้หมายความว่าจับฉ่าย มั่วซั่ว แบบไม่มีความรู้อะไรเลยนะครับ สังเกตจากตัวอย่างที่ผมให้ข้างบนคือเขากระจายการลงทุนก็จริง แต่เขาก็ศึกษามาอย่างดีเช่นกันครับ

6. เตรียมตัวสำหรับโชค

คืองี้ครับ ทราบไหมครับคนที่โชคดีนั้น บางทีมันไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดียวที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่มันเกิดจากเหตุการณ์หลังจากนั้นด้วย คือบางทีถ้าเราไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ พอมันมีโอกาสเข้ามา (ซึ่งโอกาสมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ) แต่เราไม่สามารถจัดการกับโอกาสนั้นได้ โชคมันก็หลุดลอยไป

อย่างเช่น เราอาจเคยได้ยินเรื่องการทดลองที่ทำให้ Alexander Fleming ค้นพบยาปฏิชีวนะที่สามารถทำลายแบคทีเรียได้ จากการที่เขาลืมทิ้งจานทดลองไว้แล้วมีราขึ้น จนกระทั่งเขาเลยพบว่ารานี่แหละมันสามารถกำจัดแบคทีเรียได้ หลายคนก็เลยบอกว่า นี่ไง คือความโชคดี ถ้าไม่ลืมทิ้งไว้ ก็คงไม่พบความจริงเรื่องนี้

แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ เหตุการณ์ต่อจากนั้นครับ เพราะแค่พบแค่นั้น มันยังทำเป็นยาเอามารักษาโรคไม่ได้หรอกครับ Alexander Fleming ต้องทำการค้นคว้าและพัฒนาต่อไปอีกไม่น้อยกว่ามันจะเป็นยาปฏิชีวนะที่เรามาใช้กันได้ในปัจจุบัน แต่เรื่องราวพวกนี้มันไม่ Sexy ไงครับ คนก็ไม่ได้เล่ากันต่อ และก็ไปสรุปว่า เขาค้นพบยาเพราะความ “โชคดี” ลองคิดสิครับว่า ถ้าเขาไม่พร้อม (เช่นไม่มีเงินทุนพอในการศึกษาต่อ ไม่มีความรู้พอที่จะศึกษาต่อ) ต่อให้เจอว่ารามันกำจัดแบคทีเรียได้ มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา จริงไหมครับ

ดังนั้น ตัวเราเอง ถ้าอยากจะมีโชค เราต้องถามตัวเองว่า เรา “พร้อม” แค่ไหนครับที่จะจัดการกับโอกาสที่จะเข้ามานั้น เราอยากจะรวย มีกิจการใหญ่โต ลองถามตัวเองครับ ถ้าวันนี้ แจ็ค หม่า มาบอกว่า ไอให้ยูเป็นตัวแทนอาลีบาบา เมืองไทย เราพร้อมไหม เราอยากจะเป็นดาราชื่อดัง ถ้าวันนี้ เพื่อนของอาเรา รู้จักคนที่กำลังทำละครบุพเพสันนิวาส ภาค 2 มาชวนเราไปเล่นด้วย เราพร้อมที่จะตอบรับไหมที่จะร่วมเล่นละครนั้น

โชคไม่ได้มาบ่อย ๆ แต่เมื่อมันมาแล้ว เราพร้อมที่จะรับโชคนั้นไหม (และนี่คือสาเหตุที่เกิดเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “สามล้อถูกหวย” ไงครับ คือเขาพบว่า คนที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ส่วนใหญ่ ภายในสามปีจะกลับมาจนเท่าเดิม หรือจนกว่าเดิมอีก เพราะเขา “ไม่พร้อม” ที่จะรวยนั่นเอง)

นั่นแหละครับ คิอวิธีที่จะสร้างโชคให้ตัวเอง อย่างที่บอกว่า ถ้าเป็นวิธีอื่น ๆ ผมไม่ทราบครับ ไม่เชี่ยวชาญด้วย แต่วิธีเหล่านี้ ผมเชื่อว่ามันเป็นจริงได้ บทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโชคให้กับผมเหมือนกัน ใครจะไปรู้ครับ ไม่แน่ว่าบทความนี้มันอาจจะถูกส่งต่อไปให้คนอ่านเป็นล้าน ๆ คน อาจจะมีคนมาติดตาม Blog ผมเป็นล้าน ๆ คนก็ได้

แล้วก็คงมีใครบางคนบอกว่า ผม “โชคดี” จริง ๆ ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา จริงไหมครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

ผมว่าถ้า Warren Buffet มาเริ่มต้นเล่นหุ้นใหม่ก็อาจจะไม่รวยเท่านี้

อ้าว ชื่อหัวข้อนี้ ล่อเป้าซะแล้ว แหม ผมเป็นใคร รวยแค่ไหน เล่นหุ้นได้อย่างเขาหรือเปล่า อยู่ดี ๆ มาว่า Buffet ไม่ได้เรื่องเหรอไง เขามีผลงานให้เห็นชัดเจนว่าวิธีที่เขาใช้แล้วมันสำเร็จ จะมา question เขาเหรอ ผมล่ะ เล่นหุ้นแล้วรวยได้สัก 1% ของเขาได้หรือเปล่า (0.1% ยังไม่ถึงเลยครับ 555) แล้วถือดีไง มาบอกแบบนี้

ใจเย็น ๆ ครับ อ่านให้จบก่อน 555

คืองี้ครับ ที่ผมกำลังจะสื่อ ไม่ใช่จะบอกว่า Warren Buffet ไม่เก่ง รวยเพราะฟลุ้ก นะครับ จริง ๆ Buffet เป็น Idol คนหนึ่งของผมเหมือนกันครับ

แต่ผมมีทฤษฎีอันหนึ่ง ที่ผมได้มาจากการอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม เล่นหุ้นมาก็ 20 กว่าปีละ ยิ่งเห็นตลาดหุ้นมามากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผมเชื่อในทฤษฎีนี้มากเท่านั้น

คือผมเชื่อว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้นมันมี 3 ปัจจัยที่สำคัญครับ อันแรกคือ ความรู้ อันที่สองคือ Mindset และ อันสุดท้ายคือ ความบังเอิญ หรือที่เรามักจะเรียกว่า โชค นั่นแหละครับ

และจริง ๆ แล้ว ผมว่าไม่ว่าจะเรื่องใด ความสำเร็จมันก็จะมาจาก 3 ปัจจัยนี้ทั้งนั้นแหละครับ

คราวนี้ที่ผมเชื่อว่า “ถ้า Warren Buffet มาเริ่มเล่นหุ้นใหม่ ก็อาจจะไม่รวยเท่านี้” เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมเชื่อว่า ถึงแม้ว่า Buffet จะความรู้เชี่ยวชาญเหมือนเดิม มี Mindset ในการเล่นหุ้นที่ถูกต้องเหมือนเดิม แต่ที่ผลมันอาจจะไม่เท่าเดิม ก็เพราะตัวแปรสุดท้ายที่เรียกว่า “โชค” นั่นแหละครับ

ตัวแปรนี้แหละครับ ที่เป็นตัวแปรที่เราควบคุมไม่ได้ ผมเชื่อว่ามีคนที่อ่านงบ วิเคราะห์งบได้เก่งไม่แพ้ Buffet หลายคน ขยันศึกษาหาความรู้ไม่แพ้ Buffet ก็หลายคน และก็มี Mindset ในการลงทุนที่ถูกต้องก็หลายคน แต่เราก็ยังมี Buffet อยู่คนเดียว ทำไมเหรอครับ เพราะตัวแปรที่ 3 ที่เรียกว่า โชค หรือ ความบังเอิญนี่แหละครับ

เพราะถ้ามีแค่ความรู้และ Mindset ที่ถูกต้อง ก็ทำให้ประสบความสำเร็จสุด ๆ แล้ว ถ้างั้น เราจะต้องมี Buffet หลายร้อย หลายพันคนแล้ว ผมเชื่ออย่างนั้น

ที่สำคัญผมยังเชื่ออีกว่า ในตลาดหุ้นนั้น มันมีปัจจัยที่มันควบคุมได้ยากมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ครับ

เอาเรื่องกีฬามาเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ สมมุติว่า Michael Jordan นักบาสเก็ตบอลระดับตำนาน สามารถย้อนเวลากลับไปเล่นบาสใหม่ ย้อนไปตอนอยู่ high school เลย ท่านคิดว่าเขาจะกลายเป็นตำนานนักบาสเหมือนเดิมไหมครับ

น่าคิดนะครับ เพราะบางที เขาอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบที่เขาเป็นก็ได้ แต่ผมก็เชื่อว่า หลาย ๆ คนก็ยังคิดว่า ยังไงเขาก็น่าจะประสบความสำเร็จไม่มากก็น้อยแหละ ความสามารถเขาระดับนั้น แถมยังมี winning mindset อีก

ผมก็เชื่ออย่างนั้นแหละครับ เพราะผมว่า ในเกมกีฬา ถึงแม้โชคจะเข้ามามีส่วนบ้าง แต่ต้องยอมรับว่า มันก็มีไม่มากนัก ถ้าเทียบกับ ความสามารถและ Mindset ของนักกีฬา Michael Jordan อาจจะไม่ได้แชมป์เยอะขนาดนั้น แต่ก็อาจจะได้หลายแชมป์เหมือนเดิม

แต่ผมว่าตลาดหุ้น มันมีปัจจัยที่ control ไม่ได้หลายอย่าง ที่มันอาจจะทำให้ผลลัพธ์มันเปลี่ยนไปได้เลย ถึงแม้ว่า ระดับของความรู้ กับ Mindset ยังคงเหมือนเดิม

แล้วไงเหรอครับ แปลว่า งั้นอย่าเล่นหุ้นเลย หาความรู้ไปก็เท่านั้น มี Mindset ถูกก็เท่านั้น เพราะในที่สุดแล้วมันก็ดวงล้วน ๆ เหรอ (ถามจริง ๆ ตอนเขียนเรื่องนี้ ติดดอยหุ้นอยู่ใช่ป่ะ 555)

ไม่ใช่เลยครับ ไม่ใช่เลย สิ่งที่ผมกำลังจะสื่อคือ ที่ผมว่าตัวแปร 3 ตัวนี้มันส่งผลต่อความสำเร็จนั้น ในทฤษฎีผมมันมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญอยากจะบอกครับ

คือผมเชื่อว่า เมื่อถ้าเราทำให้ปัจจัยเรื่องความรู้กับ Mindset มันดีขึ้น ปัจจัยเรื่องความบังเอิญมันจะลดลงโดยอัตโนมัติครับ!!

เหมือนแบบนี้ครับ สมมุติว่าผลรวมของปัจจัยทั้ง 3 มันจะเท่ากับ 100 คะแนนเต็ม ถ้าปัจจัยเรื่องความรู้กับ Mindset มันอยู่ที่ 50 ก็แปลว่าจะมีเรื่องโชคอีก 50 แต่ถ้าเราหาความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปรับ Mindset ในการลงทุนให้ถูกต้อง จนกระทั่ง 2 อันนี้มีคะแนนอยู่ที่ 70 แปลว่าเรื่องโชคชะตาก็จะเข้ามามีส่วนแค่ 30 เท่านั้น!!

คิดง่าย ๆ ครับ ถ้าท่านเข้ามาในตลาดหุ้น แบบไม่มีความรู้ใด ๆ มี Mindset แบบอยากรวยเร็วอย่างเดียว เรียกว่าทั้งสองอย่างอยู่ในระดับ 0 แล้วก็จิ้มหุ้นมั่ว ๆ ตามข่าวกระซิบต่าง ๆ เล่นหุ้นแบบนี้มันก็เหมือนกับเข้าบ่อนไหมครับ เพราะท่านต้องอาศัยโชค 100% เต็มเลย ใช่ครับ บางที ท่านอาจจะได้บ้าง (โชคดี) แต่ที่สุดแล้ว ท่านก็เสียจนได้ (โชคร้าย)

แต่ถ้าท่านหาความรู้เพิ่มขึ้น ปรับ Mindset เรื่องการลงทุนให้ดีขึ้น ปัจจัยเรื่องโชคมันก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่มันก็ยังคงต้องมีอยู่ครับ บางที ดูแล้วหุ้นนี้ดี อ่านงบ ดูกราฟแล้วใช่ แต่ซื้อไปก็ยังผิด (โชคร้าย เจอเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง) ก็ยังมีจริงไหม แต่โอกาสจะเกิดขึ้นมันก็จะน้อยลง

Buffet เขาอาจจะมีความรู้และ Mindset อยู่ในระดับที่ 90 ก็ได้ แต่ยังไงก็ตาม มันก็ยังมีส่วนของโชคอยู่ดี และผมไม่เชื่อว่าจะมีใครที่สามารถมีความรู้และ Mindset อยู่ในระดับที่ 100 โดยจะไม่มีปัจจัยเรื่องโชคหรือความบังเอิญเข้ามาทำอะไรได้เลย

แต่ส่วนที่เราสามารถปรับปรุงตัวเองได้ คือเรื่องความรู้กับ Mindset นี่แหละครับ ยิ่งทำให้ดีมากขึ้นเท่าไร โชคก็ทำอะไรกับเราได้น้อยเท่านั้น

พยายามเพิ่มสองสิ่งนี้ให้มากที่สุดนะครับ ถ้าท่านทำเต็มที่แล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อันนั้นเราก็ควบคุมไม่ได้แล้วจริงไหมครับ แต่อย่างน้อย มันก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียใจอีกต่อไป เราจะได้ไม่ต้องมาพร่ำบ่นว่า “รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้งี้” นะครับ 555

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho