การตั้งเป้าหมายแบบ 3-3-3-3

วันก่อนอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง (สารภาพว่าจำไม่ได้ว่าเล่มไหน) แต่ชอบ Idea เลยอยากลองนำมาปรับใช้ดูครับ
.
เขาพูดถึงการตั้งเป้าหมายระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้น อะไรทำนองนี้ แต่ผมขอนำมาปรับให้อีกหน่อย
.
คือสำหรับผม เราอาจจะใช้สูตร 3-3-3-3
.
3 อันแรก คือเป้าหมาย 3 ปีครับ
.
สำหรับผมการตั้งเป้าหมายระยะยาว ตอนนี้อาจจะขอแค่ 3 ปีก็พอ เพราะโลกเราเปลี่ยนไปเร็วมาก การตั้งเป้าหมาย 20 ปี อะไรแบบนี้ ผมว่ามันทำได้ยากมาก ตั้งแล้ว บอกได้เลยว่า ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
.
เอาง่าย ๆ ครับ ตัวผมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยังทำงานอยู่ ปตท. อยู่เลย ไม่ได้เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะเป็นอาจารย์ นักเขียน Podcaster แบบในปัจจุบัน
.
ดังนั้น ขอแค่ 3 ปีครับ เราลองเขียนเป้าหมาย 3 ปีของเราดูว่า ทางการงานเราอยากทำอะไรให้สำเร็จ เรื่องสุขภาพจะเป็นอย่างไร เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการเงิน หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เราต้องการ
.
สมมุติว่าเป้าหมาย 3 ปี เราจะต้องมีเงิน 10 ล้านให้ได้ ก็จดไว้
.
3 อันที่สอง คือ เป้าหมาย 3 เดือนครับ
.
ถ้าเราตั้งเป้าหมายแค่ 3 ปี ผมว่าเดี๋ยวเราก็ลืม เชื่อสิครับ เพราะมันก็ยังนานไป
.
ลองย่อเวลาลงมาสัก 3 เดือนนี้ เอาเป้าหมาย 3 ปีที่เราตั้งขึ้นมาเป็นโจทย์ แล้วตอบตัวเองเพื่อไปให้ถึง 3 ปีนี้ เราต้องทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง
.
อย่างตัวอย่างข้างต้น สมมุติว่าผมตั้งเป้าหมายว่า 3 ปี ต้องมีเงิน 10 ล้าน 3 เดือนนี้ ผมอาจจะตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะต้องเริ่มต้นทำธุรกิจในวันหยุดโดยเริ่มมีรายได้สักเดือนละ 5,000 บาทก่อน (คือใช่ครับ เดือนละ 5,000 ทุกเดือน 3 ปีมันยังไม่ได้ 10 ล้านแน่ ๆ แต่อย่าลืมว่าตอนนี้คือเป็นแค่จุดเริ่มต้น อีก 3 เดือน เมื่อได้ 5,000 บาทแล้ว เราค่อย ๆ มาขยับเป้าหมายเราให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้)
.
3 อันที่ 3 คือ เป้าหมาย 3 สัปดาห์
.
บางคนอาจจะคิดว่า 3 เดือนก็พอแล้ว แต่เชื่อเถอะครับ ถึงจะเป็น 3 เดือน ก็มีสิทธิอย่างมากที่เราจะลืมไปจนได้ ย่อลงมาให้เหลือ 3 สัปดาห์ให้ได้
.
เช่นตัวอย่างข้างต้น 3 เดือนจะต้องมีรายได้ 5,000 บาท ดังนั้น 3 สัปดาห์นี้ เราอาจจะต้องมีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมที่จะขายแล้ว อะไรทำนองนี้
.
3 อันที่ 4 คือ เป้าหมาย 3 วัน
.
อันนี้เป็นเป้าหมายที่สั้นที่สุดครับ เพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเอง ตอบคำถามให้ได้ว่า ในอีก 3 วันข้างหน้าเราจะทำอะไรให้สำเร็จ
.
เช่นในอีก 3 วันนี้ เราต้องเรียน Course Online ในเรื่องธุรกิจที่เราสนใจให้จบ อะไรทำนองนี้
.
และทุก ๆ 3 วัน เราก็มา Update เป้าหมายเราครับ ทำได้ ไม่ได้ ไม่เป็นไร ขอให้มา Update และก็ต้องเป้าหมาย 3 วันต่อไป เพราะครบ 3 สัปดาห์ก็มา Update เป้าหมาย 3 สัปดาห์ต่อไป เช่นเดียวกันกับ 3 เดือน และ 3 ปี
.
ส่วนตัวคิดว่าการตั้งเป้าหมายใคร ๆ ก็ทำได้ครับ แต่อันที่เราไม่ได้ค่อยได้ทำคือการ Update นี่แหละครับ
.
ก็ทดลองทำกันดูนะครับ เผื่อเป็นประโยชน์ครับ

ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit

ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย

หลายคนคงทราบว่าการตั้งเป้าหมาย (Goal Setting) เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็คงมีอีกหลายคนที่เคยตั้งแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง

Professor Edwin Locke และ Professor Gary Latham ได้ตั้งทฤษฎีของการตั้งเป้าหมาย (Goal Setting Theory) ที่บอกไว้ว่า

1) เป้าหมายที่ยากจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้มากกว่าเป้าหมายที่ง่าย
2) เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง จะทำให้เราประสบความสำเร็จมากกว่าเป้าหมายที่เลื่อนลอย หรือไม่มีเป้าหมายเลย

ลองมาพิจารณา 2 ข้อนี้กันดูครับ

ข้อแรก ทำไมเป้าหมายที่ยากจะทำให้เราประสบความสำเร็จมากกว่าเป้าหมายที่ง่าย

คำตอบคือ ก็เพราะเป้าหมายที่ง่าย มันทำแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว และโดยปกติ เวลาเราทำอะไรถึงเป้าหมายไปแล้ว มันก็ไม่ได้มีแรงจูงใจให้อยากทำต่อ

ในทางกลับกัน เป้าหมายที่ยากมันเค้นพลังเราออกมาทั้งหมด มันจึงไม่แปลกที่เราจะพัฒนาฝีมือได้เยอะกว่า และประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น ๆ ได้มากกว่า

คนที่ตั้งเป้าหมายวิ่งได้ครบ 1 กิโลเมตร กับ คนที่ตั้งเป้าหมายว่าจะไปวิ่งมาราธอน ผมว่าในที่สุดแล้ว คนแรกอาจจะทำได้สบาย ๆ คนหลังอาจจะทำได้ หรือยังทำไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าคนหลังจะมีฝีมือ (เท้า) ในการวิ่งที่พัฒนาไปมากกว่าคนแรก

ขออย่างเดียว อย่าตั้งให้มันยากซะจน เราถอดใจ เพราะยังไงก็คงทำไม่ได้ แบบนั้นเราอาจจะไม่เริ่มทำเลยด้วยซ้ำ

ข้อที่สอง ทำไมเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมันจึงทำให้เราพัฒนาฝีมือมากกว่าเป้าหมายที่เลื่อนลอย

เหตุผลคือ เวลาเรามีความชัดเจนในเป้าหมาย เราก็สามารถวางแผนได้ดีกว่า อย่างเช่น เราตั้งเป้าหมายว่าเราจะไปวิ่งมาราธอนภายในปีนี้ เราก็จะสามารถสร้างตารางซ้อมได้ชัดเจนว่า สัปดาห์แรกต้องวิ่งระยะทางเท่าไร วิ่งด้วยความเร็วเท่าไร และสัปดาห์ถัด ๆ ไปต้องทำอะไร

ไม่ว่าเราจะวิ่งมาราธอนสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่ผมก็เชื่อว่าเราจะพัฒนาไปข้างหน้าได้มากขึ้น

แต่ถ้าเราแค่ตั้งเป้าหมายแบบเลื่อนลอยว่า “อยากวิ่งเก่ง ๆ จัง” อะไรแบบนี้ ผมว่ามันขาดทั้งแรงจูงใจ แถมเรายังวางแผนได้ลำบาก

เพราะคำว่า “วิ่งเก่ง” แปลว่าอะไร เราก็ยังไม่รู้เลย

ลองนำปรับเอาทฤษฏีการตั้งเป้าหมายทั้ง 2 ข้อนี้ ไปใช้กันดูนะครับ

ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify Youtube หรือ Blockdit

มาสร้างเป้าหมายระยะยาวในชีวิตกัน

บางคนอาจจะเบื่อเวลาเห็นหัวข้อนี้ เอาอีกละ มาแนวสร้างแรงบันดาลใจ สร้างเป้าหมายอีกละ มีบทความเป็นร้อย ๆ บทความ (หรืออาจจะมากกว่านั้น) ที่เขียนเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน

จริง ๆ ก็ใช่ครับ แต่อันนี้ สิ่งที่ผมอยากจะสื่อสารอาจจะต่างกันไปสักหน่อย คือ เป้าหมายที่ผมกำลังแนะนำ ไม่ใช่เป้าหมายที่คนทั่ว ๆ ไปหมายถึงน่ะครับ คือไม่ใช่แค่ อยากรวย อยากมีสุขภาพดี อยากมีครอบครัวที่มีความสุข

แต่เป้าหมายที่กำลังบอกถึง จะเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ประกอบด้วยเป้าหมายระยะสั้นที่สะสมกันไปเรื่อย ๆ ทั้งชีวิตครับ หรือในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Quest หรือการเสาะแสวงหา

มันคืออะไรกันแน่ ถ้าใครเคยอ่านบทความประเภท “100 สิ่งที่ควรทำก่อนตาย” “100 สถานที่ที่ควรไปก่อนตาย” มันคืออะไรทำนองนั้นแหละครับ ที่เขาเรียกว่า Bucket List นั่นแหละ เพียงแต่ว่า เราควรสร้างของเราขึ้นมาเอง ไม่ใช่ไปทำตาม List ของคนอื่น

ถามว่าจะต้องเป็น List แบบนี้เสมอไปไหม อาจจะไม่จำเป็นครับ เราอาจจะตั้งเป้าหมายเฉพาะเจาะจงลงไปว่า เราจะต้องไปเที่ยวให้ครบ 100 ประเทศในชั่วชีวิตเรา เราจะดูฟุตบอลในสนามฟุตบอล 100 สนามให้ได้ อะไรแบบนี้ก็ได้

ถามว่ามีแล้วมันดีอย่างไร อันแรกคือ มันเป็นสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว (เพราะไม่มีใครมาบังคับเราว่าต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้) ดังนั้นการตั้งเป้าหมายระยะยาว มันจะทำให้เราเริ่มทำตามความฝันนั้น อันที่ 2 เวลาเราตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน มันเหมือนชีวิตเราจะมีความหมายมากขึ้นครับ ใช่ครับ เราอาจจะยังต้องทำงานประจำ เราอาจจะต้องทำอะไรที่เราไม่อยากทำอยู่บ้าง แต่เราจะมีมุมหนึ่งที่เรามีความตั้งใจจะทำให้สำเร็จ แบบนี้มันจะมีแรงเพิ่มขึ้นครับ เช่น เดี๋ยววันหยุดนี้ วางแผนทำเรื่องนี้ดีกว่า อะไรทำนองนี้

ตั้งแล้ว เปลี่ยนได้ไหม คำตอบคือ ได้สิครับ ถ้ามันยังไม่ใช่จริง ๆ ก็เปลี่ยนไป แต่ถ้าเปลี่ยนบ่อย ๆ ระวังมันจะไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่างนะครับ ค่อย ๆ หาไป เอาอันที่เราชอบจริง ๆ แล้วตั้งให้มันท้าทายหน่อยครับ ไม่ใช่ว่า เราจะไปเที่ยวหัวหิน อะไรแบบนี้ สัปดาห์เดียวก็สำเร็จแล้ว

ใครจะทำเป็น List ก็ทำไปก็ได้ กี่ข้อก็ใส่เข้าไป ใครจะ Focus บางเรื่องก็ทำไปครับ ไม่มีข้อห้าม ไม่มีผิดถูก มันขึ้นกับตัวเราเท่านั้นครับ

สำหรับผม ตอนนี้มี 2 ข้อครับ คือ

1) ผมจะต้องเขียนหนังสือออกมาให้ได้ 100 เล่ม ตอนนี้มาแล้ว 8 เล่ม เล่มที่ 9 อยู่ในโรงพิมพ์ และเล่มที่ 10 น่าจะได้ภายในปีนี้ แปลว่าเหลืออีก 90 เล่ม ถ้าผมทำได้ปีละ 4 เล่ม ก็จะใช้เวลาทั้งหมด 22.5 ปี ผมก็จะทำสิ่งนี้สำเร็จครับ

2) ผมจะต้องวิ่งรอบโลกให้ได้ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าออกไปวิ่งผ่านประเทศต่าง ๆ จริง ๆ นะครับ คือไม่ได้อยากไปแบบนั้น จริง ๆ ไม่ใช่นักวิ่งอะไรเลยครับ ผมวิ่งออกกำลังกายเฉย ๆ ผมตั้งเป้าไว้ว่าปีหนึ่งอย่างน้อยให้ได้สัก 1,000 กิโลเมตร คราวนี้ไปเปิดดูว่าระยะทางรอบโลกมันเท่าไร ก็พบว่าอยู่ที่ 40,075 กิโลเมตร ดังนั้นด้วยอัตรานี้ ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 40 ปี เห็นจะได้ (อันนี้ดูจะยากหน่อย แต่ลองดูครับ)

สำเร็จหรือไม่สำเร็จไม่รู้ครับ แค่อยากทำ และตั้งเป้าหมายระยะยาวไว้ ลองทำกันดูนะครับ 🙂

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho