11 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ Super Productive

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณรวิศ หาญอุตสาหะ ก็ต้องบอกว่าไม่ต้องเปิดดูข้างใน ก็ซื้อได้เลย เพราะไม่เคยผิดหวังเลยสักเล่ม ติดตามมาตั้งแต่เล่มแรกที่คุณรวิศเขียนเลยด้วยซ้ำ (และก็เป็นปีเดียวกับที่ได้เจอคุณรวิศในคอร์สการเขียน) เล่มนี้ ผมได้มาจากการสั่งซื้อผ่านทาง Page ของคุณนิ้วกลม อ่านแล้วขอมาเขียนสรุปข้อคิดที่ได้จากการอ่าน ดังนี้ครับ

1. คิดอะไร ทำไปเถอะ อย่าไปคิดมาก ยิ่งคิดยิ่งไม่ได้ทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามันไม่ได้มีความเสี่ยงมากมายอะไร

2. อย่ามัวไปนั่งกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเราให้มากนัก เพราะถ้าเราพยายามจะเอาใจทุกคน เราคงไม่ต้องได้ทำอะไรกันพอดี

3. เรียนรู้ให้ตลอดชีวิต ถ้าหยุดเรียน เราจะไม่พัฒนา

4. เมื่อเรารู้สึกว่าหมดไฟ หรือ Burn Out ลองดูก่อนว่ามันของจริงหรือของปลอม บางทีแค่ไปนอนให้พอ ตื่นขึ้นมาก็หายแล้ว

5. เวลาทำธุรกิจลองดูว่า มันขยายได้ไหม (Scalable)

6. การเล่าเรื่องเป็นสิ่งที่สำคัญมากกับธุรกิจ

7. คนแย่ ๆ เพียงคนเดียวในทีม อาจจะทำให้ทีมทั้งทีมเสียไปเลยก็ได้

8. โค้ชฟุตบอลที่เก่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องเล่นฟุตบอลเก่งเสมอไป

9. การให้เกียรติก็เหมือนกับอากาศ ตอนมีอยู่เราไม่ค่อยรู้สึก แต่หายไปเมื่อไร เราจะรู้ทันที

10. ถ้าต้องเลือกระหว่างทีมงานที่ดีกับแผนที่ดี เลือกทีมงานที่ดีจะดีกว่า

11. เวลาเรามีจำกัด อย่าไปใช้เวลามากกับความคิดเชิงลบ

เป็นข้อคิดที่ผมได้มา สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ทรงพลัง อ่านแล้วรับรองว่า Productive ขึ้นแน่นอนครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือ Twitter Nopadol’s Story หรือฟัง Podcast Nopadol’s Story ได้ที่ https://nopadolstory.podbean.com/

28 ข้อคิดที่ได้จาก Super Productive Show โดยรวิศ หาญอุตสาหะ

ต้องบอกก่อนว่า ปกติผมมักจะ review หนังสือมากกว่า หรือที่เคยทำคือ review การเรียน online course แต่ยังไม่เคย review talk show มาก่อน

แต่คราวนี้ต้องบอกว่าอยาก review จริง ๆ ครับ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์

ผมได้มีโอกาสไปฟัง Super Productive Show ที่มีคุณรวิศ หาญอุตสาหะ เป็นผู้พูด และมีแขกรับเชิญ 2 ท่านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี คือคุณต้อง กวีวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Design Thinking ของประเทศไทย และเจ้าของ Podcast 8 บรรทัดครึ่งอันโด่งดัง กับอีกท่านคือคุณเอ๋ นิ้วกลม นักเขียนระดับประเทศ และก็เป็น Podcaster ช่องความสุขโดยสังเกต ของทาง The Standard

ส่วนคุณรวิศ หาญอุตสาหะ คงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะทำอะไรก็โดดเด่นไปซะทุกอย่าง ตั้งแต่เป็น CEO ของศรีจันทร์ ทำ Podcast 4 ช่อง คือ Mission to the Moon 5-minute Podcast Super Productive และรายการล่าสุดคือ Mission to the Moon World News

อ้อ จริง ๆ มีอีกท่านคือคุณ Alexandra Reich ซึ่งเป็น CEO ของ DTAC มาพูดตอนเปิด ก็ได้ Idea ดี ๆ เช่นกัน ขอนับรวมด้วยละกันครับ

Concert เอ้ย Talk Show นี้ สร้างปรากฏการณ์อีกอย่างคือ เปิดจองบัตรไม่เกิน 5 นาที หมดเกลี้ยง!! ไม่เรียกว่า Concert ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว (เคยมีประสบการณ์แบบนี้ครั้งหนึ่ง ตอนลูกสาวจะไปดู Got 7 จองบัตรแบบกดกันรัว ๆ แต่คราวนี้โชคดีหน่อยที่เคยไปเป็น Guest ในรายการของ The Standard หลายรายการ เลยได้บัตรที่ทาง The Standard เก็บไว้ให้)

เอาล่ะครับ เกริ่นมาซะนาน ขอเข้าเรื่องเลยละกัน ผมคงไม่ได้สรุปในรายละเอียดทั้งหมด แต่คงทำเป็นข้อคิดที่ผมชอบเป็นข้อ ๆ เหมือนกับการอ่านหนังสือนะครับ พร้อมแล้ว เริ่มเลยละกันครับ

ข้อคิดจากคุณ Alexandra Reich

1. คนเราจะสุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับมุมมองของเราเอง และการที่เราสำเร็จมาโดยตลอด อาจจะทำให้เรา “เปราะบาง” เกินไปเวลาเราพ่ายแพ้ บางทีอุปสรรคก็สอนอะไรเราบางอย่างเช่นกัน

2. เคยถามตัวเองไหมว่า เราจะ Productive ไปทำไม ในเมื่อในอนาคต AI ก็จะมาแทนเราอยู่แล้ว ให้ตระหนักว่า สิ่งที่เรามี แต่หุ่นยนต์ไม่มี คือจิตใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรานี่แหละ ที่จะทำให้เราเหนือกว่าหุ่นยนต์

ข้อคิดจากการพูดของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ

1. บางทีการที่เราไม่รู้อะไรมาก่อน ก็อาจจะมีข้อดี คือ มันจะลดความกลัวของเราลง ยิ่งรู้มาก ก็อาจจะยิ่งกลัวมาก จนกระทั่งเราอาจจะไม่กล้าทำอะไรเลย

2. สิ่งที่คนเขียนความตั้งใจตอนปีใหม่ (New Year Resolution) มากที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ คนไม่ค่อยเขียนเรื่องงานกันสักเท่าไร (ยกเว้นจะเปลี่ยนงาน)

3. เราควรค่อย ๆ ย่อยเป้าหมายจากใหญ่ ๆ ลงมาเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ ตั้งแต่ความฝัน เปลี่ยนให้เป็นเป้าหมายรายปี รายเดือน และรายวัน แต่ละวันตอบให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะทำให้สำเร็จ

4. สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คือการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเอง

5. การมี Productivity ไม่ใช่การทำอะไรได้เยอะ ๆ แต่เป็นการทำอะไรที่ได้ Value มากกว่า

6. เคล็ดลับของการสร้าง Productivity คือ SUPER โดยแต่ละตัวคือ 1) Start with why 2) Unhook 3) Prioritize 4) Energize และ 5) Rest

7. เราควรจะต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราจะ Productive ไปทำไม ไม่มี Why เราทำไปได้ไม่ตลอดหรอก

8. พยายามจัดการสภาพแวดล้อม ให้เราเข้าอยู่ใน Flow State ให้ได้ ซึ่งหมายความว่า เราจะสามารถดำดิ่งลงไปทำในสิ่งนั้นได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะ ระวังพวก Social Media ต่าง ๆ ที่จะคอยดึงความสนใจไปจากเราตลอดเวลา

9. ให้ใช้เวลาทำสิ่งที่สำคัญแต่ไม่ด่วนให้เยอะ เพราะถ้าเราไม่ทำ งานเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญและเร่งด่วน คือสุดท้ายเราต้องทำอยู่ดี แต่จะเลือกทำในเวลาที่เราเลือกเอง หรือ ต้องทำให้เวลาที่โดยบังคับ เท่านั้นเอง

10. ลองทำ Time Boxing ดู คือจัดเอางานประเภทต่าง ๆ ลงตารางเวลาให้อย่างเหมาะสม แต่ให้ใส่วันหยุดเข้าไปในตารางก่อน เพราะวันเหล่านี้มันเปราะบาง ถ้าเราไม่ใส่ไป เราจะโดนแย่งเวลาเหล่านี้ไปทำงานเสมอ

11. เอางานที่สำคัญและต้องใช้สมองมาก มาทำในช่วง Prime Time คือช่วงที่เรารู้สึกสดชื่น ปลอดโปร่งมากที่สุด (สำหรับคนส่วนใหญ่ อาจจะเป็นช่วงเช้า) ดังนั้นอย่าตอบ email หรือเล่น Social Media ในช่วงนั้น

12. เราควร กินในสิ่งที่มนุษย์โบราณรู้จัก (เช่นพืช ผัก ผลไม้ ไม่ใช่อาหารที่ถูก Process มาเยอะ ๆ ) เราควรออกกำลังกาย และเราควรนอนให้เพียงพอ (อย่าเอามือถือเข้าห้องนอน)

13. Productivity ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ด้วย คนที่มีอายุเยอะ ๆ ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่เสียใจว่าเขาทำงานน้อยไป มีแต่เขาเสียใจว่าเขาน่าจะให้เวลากับครอบครัวมากกว่านี้

14. เรามีหนทางของตัวเอง สิ่งที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้น มันมักจะมีแรงเสียดทานสูง ถ้าเราเริ่มได้ เราจะมี Momentum เอง ขอให้เริ่ม เพราะบางทีกิโลเมตรแรกของเราก็อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็ได้

ข้อคิดจากการพูดของคุณต้อง กวีวุฒิ

1. การเจองานที่ชอบก็เหมือนกับการเจอรักครั้งแรกแหละ คือเจอแล้ว เราจะรู้เอง ไม่ต้องถามเลยว่าใช่ไหม

2. ทุกคนมีเวลาเท่ากัน คำถามคือ เราจะเอาเวลาไปแลกกับอะไรเท่านั้น

3. Weak Tie คือคนที่เราอาจจะไม่สนิทมาก ไม่เหมือนพ่อแม่ สามี ภรรยา หรือเพื่อนสนิท แต่กลุ่มนี้แหละที่มีความสำคัญกับชีวิตเรา

4. เราอยู่ห่างจากคนที่เราอยากรู้จักเพียงแค่ 1 email หรือ 1 chat เท่านั้น อยากรู้จักใคร ลองเขียนไปหาเขาดู

5. ทำสิ่งที่เรารัก แล้วสิ่งนั้นจะหล่อเลี้ยงชีวิตเรา

ข้อคิดจากการพูดของคุณเอ๋ นิ้วกลม

1. เราไม่ต้อง Productive มากจนเกินไป บางทีควรใช้คาถา “บ้างก็ได้” เช่น พักบ้างก็ได้ เล่นบ้างก็ได้

2. ถ้าเราทำอะไรมากจนเกินไป มันจะมีสัญญาณเตือนเราทางร่างกาย ลองสังเกตดู

3. ถ้าเราทำอะไรมากเกินไป เร็วเกินไป จะคล้าย ๆ การขับรถ ในช่วงแรก ๆ เวลารถไม่เร็ว คือ เราขับรถ แต่พอรถมันเร็วเกินไป รถขับเรา (อ้างอิงจากคำพูดของคุณโน้ต อุดม)

4. เราควรจะ Focus ทำสิ่งที่สำคัญให้ดีที่สุด เหมือน Mellon ที่ชาวสวนเขาจะตัดลูกอื่น ๆ ออก เพื่อให้ Mellon ผลเดียวนั้นดีที่สุด หวานที่สุด

5. เราควร Stay Humble ไม่ต้องไปอวดอ้างว่าเราเก่งกว่าใคร ดีกว่าใคร รู้จักขอบคุณคนอื่น

6. เราโชคดีแล้วที่เกิดมามีพร้อมกว่าหลาย ๆ คน ให้ใช้ความโชคดีของเราทำให้ชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้นด้วย

7. เลือกให้ได้ว่าเราจะ Focus เรื่องไหน ถ้าเราทำเรื่องนั้นสำเร็จแล้ว ให้แบ่งปันกับคนอื่นด้วย

จริง ๆ แล้วคุณรวิศพูดไว้ 2 ช่วงนะครับ แต่เพื่อความง่าย ผมเลยสรุปรวมกันเลยดีกว่า และต้องบอกว่า Talk Show นี้ เป็น Talk Show ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมาเลยก็ว่าได้ครับ

หวังว่าบทสรุปนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือ Twitter Nopadol’s Story หรือฟัง Podcast Nopadol’s Story ได้ที่ https://nopadolstory.podbean.com/