ความเงียบ สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตเรา

ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูนะครับว่า ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน มีช่วงเวลาใดบ้างที่เราอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ จริง ๆ เอาแบบไม่นับตอนสัปหงกหรือนอนกลางวันนะครับ 555

ต้องยอมรับว่า นับวันเรามีเวลาแบบนั้นน้อยลงไปเรื่อย ๆ คำว่าอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ ไม่ได้แค่ว่า เรานั่งเล่น Facebook หรือ ถ่ายรูปเล่นจากมือถือนะครับ แบบอยู่เฉย ๆ แล้วมานั่งคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา ผมเชื่อว่าช่วงเวลาแบบนี้คงมีน้อยมาก ๆ

จริง ๆ ก็น่าแปลกนะครับ ทั้ง ๆ ที่ เวลาเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น ไปเที่ยว หรือทำงาน เรายังมีเวลาในการวางแผนต่าง ๆ แต่กับชีวิตเรา บางทีเราไม่เคยมาหยุดคิดว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ เรากำลังจะไปทางไหน มันอาจจะเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ที่ทุกอย่างมีแต่ความเร่งรีบ เช่น ตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว คนที่มีลูกก็ต้องขับรถไปส่งลูก คนที่ยังไม่มีลูกก็ต้องรีบไปเรียน หรือไปทำงานให้ทัน

คนที่เรียนอยู่กับต้องรีบเรียน รีบทำการบ้าน คนทำงานก็ต้องรีบไปประชุม รีบทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ ตกเย็น (หรือบางทีก็กลางคืน ดึกดื่น) ก็ไปแย่งที่ขับรถกันบนถนน รถติด รีบกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ต้องรีบนอนอีก วนเวียนไปแบบนี้ทุกวัน จะหาเวลาที่มานั่งคิดเงียบ ๆ คนเดียวแทบไม่ได้เลย

ผมให้คำแนะนำอย่างนี้ครับ ถ้าเราอยากจะลองหาเวลาที่เราอยู่เงียบ ๆ คนเดียว นั่งคิดอะไรเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเรา ลองตื่นเช้า ๆ มาสักหน่อยครับ เช่น สมมุติว่าเราต้องตื่น 6 โมง เพื่ออาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปเรียนหรือทำงาน ลองตื่นมาสักตี 5 ดูครับ (หรือถ้ามันไม่ไหว ตี 5 ครึ่งก็พอได้) ช่วงเวลาแบบนี้ คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ตื่น ลองมานั่งที่ห้องนั่งเล่น หรือที่ไหนก็ได้เงียบ ๆ แล้วลองคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ดู

ช่วงเวลาตอนเช้า เป็นช่วงที่เรามักจะมีกำลังสมอง กำลังใจ เต็มเปี่ยม เนื่องจากส่วนใหญ่เราได้พักผ่อนมาพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้น สมองจะค่อนข้างปลอดโปร่ง โล่งสบาย เรื่องราวหลาย ๆ อย่างบางทีเราคิดออกก็ช่วงนี้แหละครับ

หรือถ้าใครไม่สะดวกช่วงเช้าจริง ๆ ลองพยายามหาช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งดูครับ ไปตามห้องสมุด หรือจะเป็นร้านกาแฟ แต่เอาแบบที่เงียบ ๆ หน่อยนะครับ แล้วลองมานั่งคิดอะไรคนเดียวกันบ้างครับ

ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอินดี้ หลีกหนีสังคม ถึงขนาดนั้นนะครับ แค่แนะนำให้ลองหาเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง เรามีเวลาอยู่กับเจ้านาย เพื่อนฝูง หรือคนรอบข้างมาเยอะแล้ว แต่กับตัวเอง เรากลับไม่มีเวลาให้กับเขาซะงั้น

ลองดูนะครับ บางที กิจกรรมแบบนี้มันก็สามารถเปลี่ยนชีวิตเราไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้จริง ๆ ครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

 

คิดได้ คิดเป็น คิดอย่างไร

วันก่อนได้มีโอกาสไปพูดในงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อ “คิดได้ คิดเป็น คิดอย่างไร” หรือผมใช้ภาษาอังกฤษสั้น ๆ ว่า How to Think เลยอย่างนำเอามาเล่าให้ฟังด้วยครับ

สำหรับผม จากประสบการณ์ที่ผ่านมากับการที่ผมชอบอ่านหนังสือ ผมมีข้อแนะนำเรื่องเกี่ยวกับวิธีคิด 3 ข้อดังต่อไปนี้ครับ

ข้อแรก คือวิธีการคิดที่ผมใช้คำว่า Yes I can คือเราต้องคิดก่อนว่าเราทำได้ บางคนอาจจะแย้งว่า แต่มันทำไม่ได้นี่หน่า เราจะหลอกตัวเองหรือไง มีเทคนิคสั้น ๆ ครับ คือ อย่าคิดว่า “ไม่ได้ เพราะ” ให้คิดว่า “ได้ ถ้า” ผมมักจะเปรียบเทียบกับตอนเราเป็นเด็ก เราแทบจะไม่มีข้อจำกัดในชีวิตเลย เราอยากเป็นนักบิน เราอยากเป็นดารา แต่พอเราโตมา เราก็สร้างกำแพงกั้นตัวเองไว้ ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น เราไม่ได้มีความสามารถเรื่องนี้ เราไม่รู้เรื่องนี้ อะไรแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เหตุผลเหล่านั้น มักจะเป็นเหตุผลที่เราสามารถจัดการมันได้เกือบทั้งสิ้น

ข้อที่สองเป็นวิธีที่คิดที่ผมเรียกว่า Why Not คือ เดี๋ยวนี้คำว่า What กับ How เราสามารถหาได้จาก Google หรือจาก Website อื่น ๆ มหาศาล ประเด็นคือแล้วเราจะรู้ไปทำไม (Why) ตรงนี้ต่างหากที่หลายคนยังไปไม่ถึง การเรียนหนังสือก็เช่นกัน ถ้าเรียนแต่ What กับ How ผมว่า เปิดหนังสืออ่านเอาเองก็ได้ เราต้องค้นให้เจอว่า รู้ว่า What กับ How แล้ว เรารู้ไปทำไม แต่ถ้าเราจะเหนือไปกว่านั้น คือการหาคำตอบของคำถามที่ว่า Why Not คือ แล้ว “ทำไมไม่” อย่างนั้น อย่างนี้ล่ะ คนที่คิดระดับเปลี่ยนโลกได้ อย่าง Elon Musk Mark Zuckerberg หรือ Bill Gates ก็ถามคำถามนี้กันทั้งนั้น เพราะมันทำให้เราหลุดกรอบคิดแบบเดิม ๆ ไป เช่น Elon Musk ก็ถามว่าทำไมรถถึงต้องใช้แต่น้ำมัน ทำไมไม่ใช้ไฟฟ้ากันทั้งหมด จนเกิด Tesla มา Mark Zuckerberg ก็ถามว่า เอ คนจะติดต่อกัน ต้องใช้แต่ email เหรอ ทำไมไม่ทำ Social network ขึ้นมา หรือแม้กระทั่ง Bill Gates ซึ่งเห็นคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเครื่องใหญ่โตมโหฬาร แล้วก็ถามว่า ทำไมเราไม่ทำเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทุกบ้านมีใช้ อะไรแบบนี้ จะเห็นว่านวัตกรรมมันเกิดขึ้นจากคำถามว่า “ทำไมไม่” แทบทั้งสิ้น

ข้อสุดท้ายของวิธีคิดของผมคือ คิดให้ใหญ่ แต่ทำให้เล็ก ๆ ก่อน คือ การตั้งเป้าหมายให้ท้าทายเป็นสิ่งดี แต่มันทำได้ยาก และสุดท้ายเราก็มักจะล้มเลิกไปเอง วิธีที่จะช่วยคือตั้งเป้าหมายให้มันเล็ก ๆ จนกระทั่งเราสามารถทำได้อย่างง่าย ๆ เช่น อย่าไปตั้งเป้าหมายว่าจะวิ่งให้ได้ 10 กิโลเมตรทุกวัน แบบนี้ เราอาจจะทำได้ไม่กี่วัน แล้วเราก็ไม่สามารถทำได้ แล้วก็เลิกไปเอง ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น ขอวิ่งวันละ 10 เมตร (ใช่ครับ 10 เมตร) ทุกวัน แบบนี้ ยังไงเราก็จะออกไปวิ่ง เพราะ 10 เมตรมันง่าย แต่เทคนิควิธีคิดอย่างนี้ มันช่วยทำให้เราเริ่มที่จะออกไปวิ่ง และผมเชื่อว่าพอเราออกไปวิ่งแล้ว ครบ 10 เมตร เราก็ไม่เลิกวิ่งหรอกใช่ไหมครับ สุดท้ายเราก็อาจจะทำได้ตามเป้าหมายในที่สุด และถ้าเราทำติด ๆ กัน ต่อไปการวิ่งมันก็จะกลายเป็นนิสัยของเราไป และอะไรที่เป็นนิสัย ต่อไปมันจะถูกทำโดยอัตโนมัติ

อันนี้เป็นหลักคิดที่ผมใช้มาตลอดครับ ลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho