Ego = 1/Knowledge

จริง ๆ ผมเคยได้ยินสมการนี้มานานพอสมควรแล้วนะครับ ที่ว่ากันว่า Ego คือส่วนกลับของ Knowledge และก็ว่ากันว่า สมการนี้ ไอน์สไตน์ เป็นคนพูด จริง หรือไม่จริงไม่ทราบ แต่ประเด็นคือสมการนี้ไม่ว่าจะเป็นใครคิดผมว่ามันเป็นจริงนะครับ

เอาง่าย ๆ ครับ คนที่มี Ego มาก เขาจะมีความรู้สึกว่า เขาเก่งที่สุด และเมื่อเขารู้สึกอย่างนั้น แน่นอนเขาจะไม่ยอมฟังใคร และเมื่อเขาหยุดฟัง หยุดเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มันก็ทำให้เขาไม่สามารถได้รับความรู้ใหม่ ๆ ได้อีก

ว่ากันว่า วันใดที่เรารู้สึกว่า เราเก่งที่สุดแล้ว วันนั้นคือวันที่เราขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว ที่เหลือคือขาลง เพราะเราจะไม่พัฒนาตัวเองไปอีกแล้ว

ต่างจากคนที่มี Ego ต่ำ ๆ คนเหล่านี้ ยังคิดว่าตัวเองไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอก ต้องเรียนรู้อีกหลาย ๆ เรื่อง คนเหล่านี้จึงมักจะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ก็เลยทำให้คนเหล่านี้เป็นคนที่จะมีความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

และเคยสังเกตเหมือนผมไหมครับ คนที่เขาเก่งมาก ๆ เขาจะเป็นคนที่มีความนอบน้อม เป็นคนที่ฟังคนอื่นเยอะกว่าที่จะมาพูดมาเล่าความเก่งของตนเอง ในขณะที่คนพูดเยอะ ๆ โม้มาก ๆ ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเก่งสักเท่าไร มันก็คงเป็นไปตามสมการข้างต้นนี่แหละครับ

คราวนี้อีกประเด็นคือ แล้ว Ego นี่มันมาจากไหน

ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มี Ego ครับ เรามีความภาคภูมิใจในตัวเอง เราอยากได้รับการยกย่อง ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า เราจำเป็นให้มันอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก เพราะถ้าเราเริ่มเชื่อว่าเราเก่งสุด ดีสุด ไม่มีใครเท่าแล้ว ก็เหมือนกับเราปิดประตูไม่รับสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามา อย่างที่บอกไปแล้ว

เจ้า Ego นี่มันโตตามคำชมที่เราได้รับจากคนอื่นครับ มันโตขึ้นจากการได้รับการยกย่องเอาอกเอาใจจากคนอื่น บางทีเราอาจจะเคยเห็นคนธรรมดา มีตำแหน่งหน้าที่ปกติ ก็เป็นคนที่นิสัยดี น่ารัก แต่พอเขาเริ่มเติบโตขึ้น มีตำแหน่งใหญ่โตขึ้น หลาย ๆ ครั้งเราจะเริ่มสังเกตว่าเขาเริ่มเปลี่ยนไป ดูเป็นคนหยิ่ง หรือเริ่มมีลักษณะการดูถูกคนมากขึ้น นั่นแหละครับ เป็นอาการของ Ego ที่มันเติบโตมากขึ้นในตัวเขา

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ Ego โตขึ้น คือฐานะเราครับ เราอาจจะเคยเจอคนที่ตอนแรก ๆ ก็ไม่ได้รวยอะไร แต่พอมาจุดหนึ่งประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทางใด เริ่มมีความร่ำรวย เท่านั้นแหละ เขากลายเป็นคน “เยอะ” ไปทันที ที่น่าสนใจคือ เขากลับเป็นคนที่ดูถูกคนจน ๆ ที่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นนั่นแหละ

หรือไม่ก็เป็นเพราะอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่มีเกียรติได้รับการยกย่องมาก ๆ เช่น หมอ หรือ อาจารย์ ใหม่ ๆ ก็ไม่มีอาการแบบนี้ครับ แต่อาชีพเหล่านี้ วัน ๆ มีแต่คนยกมือไหว้ จน Ego ในตัวของบางคน มันเหมือนได้รับอาหารจนอิ่ม แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงเห็นคุณหมอหรืออาจารย์บางคน “เยอะ” อีกเช่นกัน

ผมย้ำนะครับ ผมไม่ได้เหมารวมว่าคนมีตำแหน่งใหญ่ทุกคน คนรวยทุกคน หรือคนที่เป็นหมอหรืออาจารย์ทุกคน จะเป็นคนที่มี Ego สูง หรือมีนิสัยแย่ ๆ กันหมดนะครับ เอาเข้าจริง ผมว่าเป็นส่วนน้อยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า เราต้องเตือนตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ครับ ไม่เช่นนั้นวันหนึ่งถ้า Ego เรามันเติบโตแข็งแกร่งเมื่อไร วันนั้นมันจะไม่มีใครเตือนเราได้เลย เพราะเราจะบอกกับคนเตือนว่า “คุณเป็นใคร ถึงจะมาเตือนผม/ดิฉัน”

และนั่นแหละครับ ที่เป็นหนทางที่สั้นที่สุดที่จะนำเราไปสู่ความล้มเหลวครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

 

ผมว่าถ้า Warren Buffet มาเริ่มต้นเล่นหุ้นใหม่ก็อาจจะไม่รวยเท่านี้

อ้าว ชื่อหัวข้อนี้ ล่อเป้าซะแล้ว แหม ผมเป็นใคร รวยแค่ไหน เล่นหุ้นได้อย่างเขาหรือเปล่า อยู่ดี ๆ มาว่า Buffet ไม่ได้เรื่องเหรอไง เขามีผลงานให้เห็นชัดเจนว่าวิธีที่เขาใช้แล้วมันสำเร็จ จะมา question เขาเหรอ ผมล่ะ เล่นหุ้นแล้วรวยได้สัก 1% ของเขาได้หรือเปล่า (0.1% ยังไม่ถึงเลยครับ 555) แล้วถือดีไง มาบอกแบบนี้

ใจเย็น ๆ ครับ อ่านให้จบก่อน 555

คืองี้ครับ ที่ผมกำลังจะสื่อ ไม่ใช่จะบอกว่า Warren Buffet ไม่เก่ง รวยเพราะฟลุ้ก นะครับ จริง ๆ Buffet เป็น Idol คนหนึ่งของผมเหมือนกันครับ

แต่ผมมีทฤษฎีอันหนึ่ง ที่ผมได้มาจากการอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม เล่นหุ้นมาก็ 20 กว่าปีละ ยิ่งเห็นตลาดหุ้นมามากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผมเชื่อในทฤษฎีนี้มากเท่านั้น

คือผมเชื่อว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้นมันมี 3 ปัจจัยที่สำคัญครับ อันแรกคือ ความรู้ อันที่สองคือ Mindset และ อันสุดท้ายคือ ความบังเอิญ หรือที่เรามักจะเรียกว่า โชค นั่นแหละครับ

และจริง ๆ แล้ว ผมว่าไม่ว่าจะเรื่องใด ความสำเร็จมันก็จะมาจาก 3 ปัจจัยนี้ทั้งนั้นแหละครับ

คราวนี้ที่ผมเชื่อว่า “ถ้า Warren Buffet มาเริ่มเล่นหุ้นใหม่ ก็อาจจะไม่รวยเท่านี้” เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมเชื่อว่า ถึงแม้ว่า Buffet จะความรู้เชี่ยวชาญเหมือนเดิม มี Mindset ในการเล่นหุ้นที่ถูกต้องเหมือนเดิม แต่ที่ผลมันอาจจะไม่เท่าเดิม ก็เพราะตัวแปรสุดท้ายที่เรียกว่า “โชค” นั่นแหละครับ

ตัวแปรนี้แหละครับ ที่เป็นตัวแปรที่เราควบคุมไม่ได้ ผมเชื่อว่ามีคนที่อ่านงบ วิเคราะห์งบได้เก่งไม่แพ้ Buffet หลายคน ขยันศึกษาหาความรู้ไม่แพ้ Buffet ก็หลายคน และก็มี Mindset ในการลงทุนที่ถูกต้องก็หลายคน แต่เราก็ยังมี Buffet อยู่คนเดียว ทำไมเหรอครับ เพราะตัวแปรที่ 3 ที่เรียกว่า โชค หรือ ความบังเอิญนี่แหละครับ

เพราะถ้ามีแค่ความรู้และ Mindset ที่ถูกต้อง ก็ทำให้ประสบความสำเร็จสุด ๆ แล้ว ถ้างั้น เราจะต้องมี Buffet หลายร้อย หลายพันคนแล้ว ผมเชื่ออย่างนั้น

ที่สำคัญผมยังเชื่ออีกว่า ในตลาดหุ้นนั้น มันมีปัจจัยที่มันควบคุมได้ยากมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ครับ

เอาเรื่องกีฬามาเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ สมมุติว่า Michael Jordan นักบาสเก็ตบอลระดับตำนาน สามารถย้อนเวลากลับไปเล่นบาสใหม่ ย้อนไปตอนอยู่ high school เลย ท่านคิดว่าเขาจะกลายเป็นตำนานนักบาสเหมือนเดิมไหมครับ

น่าคิดนะครับ เพราะบางที เขาอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบที่เขาเป็นก็ได้ แต่ผมก็เชื่อว่า หลาย ๆ คนก็ยังคิดว่า ยังไงเขาก็น่าจะประสบความสำเร็จไม่มากก็น้อยแหละ ความสามารถเขาระดับนั้น แถมยังมี winning mindset อีก

ผมก็เชื่ออย่างนั้นแหละครับ เพราะผมว่า ในเกมกีฬา ถึงแม้โชคจะเข้ามามีส่วนบ้าง แต่ต้องยอมรับว่า มันก็มีไม่มากนัก ถ้าเทียบกับ ความสามารถและ Mindset ของนักกีฬา Michael Jordan อาจจะไม่ได้แชมป์เยอะขนาดนั้น แต่ก็อาจจะได้หลายแชมป์เหมือนเดิม

แต่ผมว่าตลาดหุ้น มันมีปัจจัยที่ control ไม่ได้หลายอย่าง ที่มันอาจจะทำให้ผลลัพธ์มันเปลี่ยนไปได้เลย ถึงแม้ว่า ระดับของความรู้ กับ Mindset ยังคงเหมือนเดิม

แล้วไงเหรอครับ แปลว่า งั้นอย่าเล่นหุ้นเลย หาความรู้ไปก็เท่านั้น มี Mindset ถูกก็เท่านั้น เพราะในที่สุดแล้วมันก็ดวงล้วน ๆ เหรอ (ถามจริง ๆ ตอนเขียนเรื่องนี้ ติดดอยหุ้นอยู่ใช่ป่ะ 555)

ไม่ใช่เลยครับ ไม่ใช่เลย สิ่งที่ผมกำลังจะสื่อคือ ที่ผมว่าตัวแปร 3 ตัวนี้มันส่งผลต่อความสำเร็จนั้น ในทฤษฎีผมมันมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญอยากจะบอกครับ

คือผมเชื่อว่า เมื่อถ้าเราทำให้ปัจจัยเรื่องความรู้กับ Mindset มันดีขึ้น ปัจจัยเรื่องความบังเอิญมันจะลดลงโดยอัตโนมัติครับ!!

เหมือนแบบนี้ครับ สมมุติว่าผลรวมของปัจจัยทั้ง 3 มันจะเท่ากับ 100 คะแนนเต็ม ถ้าปัจจัยเรื่องความรู้กับ Mindset มันอยู่ที่ 50 ก็แปลว่าจะมีเรื่องโชคอีก 50 แต่ถ้าเราหาความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปรับ Mindset ในการลงทุนให้ถูกต้อง จนกระทั่ง 2 อันนี้มีคะแนนอยู่ที่ 70 แปลว่าเรื่องโชคชะตาก็จะเข้ามามีส่วนแค่ 30 เท่านั้น!!

คิดง่าย ๆ ครับ ถ้าท่านเข้ามาในตลาดหุ้น แบบไม่มีความรู้ใด ๆ มี Mindset แบบอยากรวยเร็วอย่างเดียว เรียกว่าทั้งสองอย่างอยู่ในระดับ 0 แล้วก็จิ้มหุ้นมั่ว ๆ ตามข่าวกระซิบต่าง ๆ เล่นหุ้นแบบนี้มันก็เหมือนกับเข้าบ่อนไหมครับ เพราะท่านต้องอาศัยโชค 100% เต็มเลย ใช่ครับ บางที ท่านอาจจะได้บ้าง (โชคดี) แต่ที่สุดแล้ว ท่านก็เสียจนได้ (โชคร้าย)

แต่ถ้าท่านหาความรู้เพิ่มขึ้น ปรับ Mindset เรื่องการลงทุนให้ดีขึ้น ปัจจัยเรื่องโชคมันก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่มันก็ยังคงต้องมีอยู่ครับ บางที ดูแล้วหุ้นนี้ดี อ่านงบ ดูกราฟแล้วใช่ แต่ซื้อไปก็ยังผิด (โชคร้าย เจอเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง) ก็ยังมีจริงไหม แต่โอกาสจะเกิดขึ้นมันก็จะน้อยลง

Buffet เขาอาจจะมีความรู้และ Mindset อยู่ในระดับที่ 90 ก็ได้ แต่ยังไงก็ตาม มันก็ยังมีส่วนของโชคอยู่ดี และผมไม่เชื่อว่าจะมีใครที่สามารถมีความรู้และ Mindset อยู่ในระดับที่ 100 โดยจะไม่มีปัจจัยเรื่องโชคหรือความบังเอิญเข้ามาทำอะไรได้เลย

แต่ส่วนที่เราสามารถปรับปรุงตัวเองได้ คือเรื่องความรู้กับ Mindset นี่แหละครับ ยิ่งทำให้ดีมากขึ้นเท่าไร โชคก็ทำอะไรกับเราได้น้อยเท่านั้น

พยายามเพิ่มสองสิ่งนี้ให้มากที่สุดนะครับ ถ้าท่านทำเต็มที่แล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อันนั้นเราก็ควบคุมไม่ได้แล้วจริงไหมครับ แต่อย่างน้อย มันก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียใจอีกต่อไป เราจะได้ไม่ต้องมาพร่ำบ่นว่า “รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้งี้” นะครับ 555

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho