เราควรอดทนในสิ่งที่ควรอดทน

“เด็ก ๆ สมัยนี้ ไม่อดทนกันซะเลย”
“แค่เจออุปสรรคแค่นี้ ก็ล้มเลิกซะแล้ว ไม่ไหวเลย”

เคยได้ยินคำพูดทำนองนี้ไหมครับ ผมว่าใครเริ่มพูดคำนี้ แสดงว่าเริ่มแก่แล้ว 555

คำพูดทำนองนี้ เรามักจะได้ยินจากผู้ใหญ่ที่กล่าวถึงเด็กรุ่นหลัง และที่น่าสนใจคือมันเกิดมาแล้วในทุกรุ่น ผู้ใหญ่คนที่พูดหลายคน ตอนเด็ก ๆ ก็อาจจะเคยโดนว่าทำนองนี้มาแล้วเหมือนกัน

แล้วมันแปลว่า คนรุ่นหลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หรือเปล่าครับ เพราะผู้ใหญ่แต่ละรุ่น ก็ว่าเด็กรุ่นหลังว่า ไม่อดทน มาตลอด คนรุ่นคุณปู่คุณย่าเรา ก็เคยบอกคนรุ่นคุณพ่อรุ่นคุณแม่เราว่า ไม่อดทน ต่อมา คนรุ่นคุณพ่อรุ่นคุณแม่เราก็มาว่าคนรุ่นเราว่าไม่อดทน และก็มาถึงคนรุ่นเรา ก็เริ่มว่าคนรุ่นลูกเราไม่อดทน ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ก็น่าเป็นห่วงนะครับว่า โลกเราจะเป็นอย่างไร เพราะคนเราดูเหมือนอ่อนแอมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่เดี๋ยวก่อนครับ มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น เราต้องกลับมาดูจุดเริ่มต้นก่อนว่า “เราจะอดทนไปทำไม” เริ่มตั้งแต่คนรุ่นปู่รุ่นย่าเราก็ได้ เราต้องยอมรับครับว่า คนรุ่นนั้น ทุกอย่างกว่าจะได้มา มันต้องอดทนให้มาก เอางี้ครับ ผมยกตัวอย่าง เช่น เรื่องอาหารการกินก็ได้ ถ้าเป็นแต่ก่อน อยากกินอะไร ต้องปลูกกินเอง คือถ้าไม่อดทน ก็อย่าจะหวังได้กิน ต่อมา คนก็เริ่มมีการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า มีตลาด อยากกินอะไร มันก็ง่ายขึ้น ต่อมามาถึงรุ่นเรามันมี Application กดทีเดียว อาหารที่เราอยากกินก็มาส่งให้ถึงหน้าบ้านภายในไม่กี่นาที

สิ่งที่กำลังจะบอกคือ มนุษย์ฉลาดขึ้น จึงสามารถสร้างเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตเรามันง่ายขึ้นครับ ดังนั้นคนรุ่นหลังย่อมที่จะไม่เข้าใจ เวลาคนรุ่นก่อนจะใช้คำพูดว่า “รู้ไหม สมัยก่อนนะ กว่าจะได้กิน ต้องรอนานแค่ไหน นี่รอไม่กี่ชั่วโมง ยังบ่น ไม่อดทนเลย” คือลองมองมุมของคนรุ่นใหม่ เขาก็คงคิดว่า อ้าว แปลว่าเขาต้องรอนาน ๆ เหมือนเมื่อก่อนเหรอ เขาต้องทนแบบนั้นเหรอ เขาทำอะไรผิด ในเมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้มันมาช่วยเขาอยู่แล้ว ทำไมเขาจะต้องทนรออะไรนาน ๆ ด้วย (และคนรุ่นนี้แหละที่ต่อไปก็จะไปตำหนิคนรุ่นลูกเขาต่อว่าด้วยคำพูดแบบนี้เป๊ะเลยว่า “สมัยก่อนนะ…”)

หรืออีกสักตัวอย่างก็ได้ครับ ถ้าเป็นสมัยก่อน เวลาจะเดินทางไปหาใคร อาจจะต้องเดินเท้ากันเป็นวัน ๆ ต่อมาเริ่มมีเกวียน มีรถม้า การเดินทางมันก็ง่ายขึ้นเร็วขึ้น จากต้องใช้เวลาหลายวัน อาจจะกลายเป็นหลายชั่วโมง จนมาถึงปัจจุบันเรามีรถยนต์ รถไฟฟ้า การเดินทางไปยังอีกที่หนึ่งอาจจะใช้เวลาไม่กี่นาที แล้วลองนึกภาพว่า พอเรารถติด เราบ่น ก็อาจจะมีผู้ใหญ่บอกว่า “สมัยก่อนนะ กว่าจะเดินทางมันลำบากมาก แค่รถติดแค่นี้ จะบ่นไปทำไม”

สิ่งที่กำลังจะนำเสนอคือ ก็ “ความไม่อดทน” นี่แหละครับ มันทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะถ้าเราเอาแต่อดทน ป่านนี้เราไม่มีรถยนต์ เครื่องบิน ไฟฟ้า หรือเครื่องอำนวยความสะดวกอื่น ๆ กันแล้ว จริงไหมครับ

อ้าว แล้วแปลว่า ความไม่อดทนเป็นสิ่งที่ดีเหรอ ต่อไปเราควรสอนลูกหลานว่า ลูก ๆ หลาน ๆ พวกหนูอย่าเป็นคนอดทนนะ ความอดทนไม่ใช่สิ่งที่ดี มันขัดขวางความเจริญ เอาแบบนั้นเหรอ

ไม่ใช่ครับ นี่แหละครับเป็นที่มาของงานเขียนชิ้นนี้ คือ “เราควรอดทน ในสิ่งที่ควรอดทน” ครับ

ผมคนหนึ่งครับ ที่เคยสับสนในเรื่องเหล่านี้ บางทีกำลังทำอะไรอยู่สักอย่าง แล้วอยากจะเลิกทำ มันจะมีเสียงเล็ก ๆ มาคอยเตือนตัวเองว่า เอ เราเป็นคนจับจดหรือเปล่า เราเป็นคนไม่อดทนใช่ไหมเนี่ย เจออุปสรรคนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ล้มเลิกซะแล้ว พอเสียงเหล่านี้เข้ามา ผมก็ก้มหน้าก้มตาทนทำต่อไป อีกสักพัก ก็มีอีกเสียงหนึ่งในหัวขึ้นมาว่า “เราจะทนไปทำไมเนี่ย” วนเวียนไปเรื่อย ๆ แบบนี้ตลอด

แต่มันก็เหมือนกับทุกอย่างแหละครับ มันไม่มีอะไรที่ดีไปซะทุกเรื่อง และก็ไม่มีอะไรที่มันแย่ไปซะหมด มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความอดทนก็เช่นกัน ผมเลยเขียน Diagram ความอดทนขึ้นมา ตามรูปนี่แหละครับ

คืออย่างแรกก่อนครับ เราควรอดทนหรือไม่ควรอดทน มันขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนั้นมันตอบเป้าหมายชีวิตเราหรือไม่ก่อน ใน Diagram แกนนอนมันจึงเป็นเรื่องระดับของการตอบเป้าหมายชีวิต ส่วนแกนตั้งคือระดับความของความอดทน ถ้าเป็นแบบนี้ เราจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม (ตามรูปเลยครับ)

กลุ่มที่ 1 งานนั้นตอบเป้าหมายชีวิตเรา และเราก็อดทนกับสิ่งนั้นสูงมาก อันนี้ผมว่ามาถูกทางแล้วครับ ผมยกตัวอย่างเช่น เราอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เราก็ต้องเริ่มหาความรู้ ซึ่งอาจจะไม่สนุกนัก เพราะต้องมานั่งเรียน เสร็จแล้ว เราคงต้องไปพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งก็ต้องใช้ความอดทน ความพยายาม แต่ถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ผมเชื่อว่าเราจะประสบความสำเร็จในไม่ช้า อันนี้แหละครับ ที่เราควรฟังผู้ใหญ่ที่เตือนเราว่า เราควรอดทนนะ เพราะสิ่งนั้นมันตอบโจทย์ชีวิตเรา

กลุ่มที่ 2 งานนั้นไม่ได้ตอบเป้าหมายชีวิตเรา แต่เราไปทนกับมันมาก อันนี้ข้อแนะนำง่าย ๆ คือหาทางเลิกทำซะ ไม่ต้องไปสนใจใครเขาจะว่าเราไม่อดทน เอาตัวอย่างเดิมนะครับ เราอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่แต่ละวัน เอาแต่ทำงานประจำตามคำสั่งของเจ้านาย แถมงานก็น่าเบื่อและก็ไม่ใช่อยู่ในธุรกิจที่เราสนใจอีกต่างหาก เรียกว่ากว่าจะผ่านไปแต่ละวัน ต้องใช้ความอดทนสูงมาก จะลาออกก็กลัวว่า ผู้ใหญ่จะมาว่าเราไม่มีความอดทน จริง ๆ เราก็ทนได้แหละครับ แต่จะทนไปทำไม ในเมื่อมันไม่ใช่เป้าหมายหลักของชีวิตเรา ถ้าเราเลือกได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องทน

ใช่ครับ หลายคนอาจจะมีข้อโต้แย้งว่า ก็เราไม่มีทางเลือกนี่ เราต้องกินต้องใช้ จะให้ลาออกมาทำธุรกิจเลย ถ้าเจ๊งขึ้นมาจะทำอย่างไร ขอตอบแบบนี้ครับ ผมไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องยื่นใบลาออกวันนี้พรุ่งนี้เลยนะครับ เพียงแต่เราต้องคิดต้องวางแผนครับ ตอนนี้มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ต้องทนทำงานนี้ไปก่อน แต่มันต่างกัน สำหรับคนที่วางแผน กับคนที่ไม่วางแผน เช่น เป้าหมายชีวิตเราคือเป็นนักธุรกิจ เป็นผู้ประกอบการ คนที่วางแผน เขาจะเริ่มเก็บเงิน และเริ่มที่จะสร้างธุรกิจเล็ก ๆ ในวันเสาร์อาทิตย์ เริ่มเข้า course หาความรู้อะไรแบบนี้ คนที่ไม่วางแผน ก็จะทนทำงานที่น่าเบื่อเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ และก็บ่นให้คนอื่นฟังว่างานนี้มันแย่แค่ไหน

อีกเรื่องหนึ่งคือ แล้วงานเพื่อส่วนรวมล่ะ ผมคิดว่าหลายท่านอาจจะคิดในใจว่า ถ้าคนคิดกันแต่แบบนี้ ใครจะทำงานเพื่อส่วนรวมกัน เพราะแต่ละคนจะไม่อดทนกับสิ่งที่ไม่ตอบเป้าหมายชีวิตของตนเอง อย่างนี้ไม่เป็นการเห็นแก่ตัวหรือ

ขอตอบอย่างนี้ครับ ผมเชื่อว่าในโลกนี้ เป้าหมายของชีิวิตแต่ละคนแตกต่างกันครับ มีคนจำนวนไม่น้อย ที่เป้าหมายของชีวิตของเขามีเรื่องการทำหน้าที่ผู้นำต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือส่วนรวม คนเหล่านี้มีทั้งความชอบ และหลายคนก็มีทักษะ และประสบการณ์ด้านนี้ที่โดดเด่นมาก ดังนั้นการที่เราไม่ถนัดที่จะเป็นผู้นำในลักษณะนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าส่วนรวมจะแย่เสมอไปนะครับ เพราะมันมีคนที่เหมาะสมกว่าและเก่งกว่าเราในเรื่องนี้ จริง ๆ เป็นการดีซะอีกที่เราได้คนที่มีความสามารถและมีใจรักมาเป็นผู้นำของเรา

ต่อมา ถ้าสมมุติว่าไม่มีล่ะ งานนี้ไม่มีใครอยากทำ แต่มันจำเป็นมากสำหรับส่วนรวม ใช่ครับ การเสียสละเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สังคมจำเป็นต้องมี ถ้ามันจะต้องเป็นเราจริง ๆ ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว (ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก) เราก็อดทนทำได้ครับ ไม่ได้ผิดกติกา แต่ต้องทราบอยู่เสมอว่า งานนี้ไม่ใช่งานที่เรามีความเชี่ยวชาญนะ อย่างตัวอย่างข้างบน ถึงแม้ว่า เป้าหมายของเราคือการเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่มีโครงการการกุศลอันหนึ่งที่มาให้เราเป็นประธานดำเนินงาน และไม่มีใครจะมาทำงานนี้ได้อีกแล้ว นอกจากเรา (ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ หรอกครับ ที่จะไม่มีใครทำได้เลย) อันนี้เราก็อดทนทำเพื่อส่วนรวมโดยรับตำแหน่งหน้าที่นี้ได้ครับ แต่ให้ทราบว่า เราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ ถ้าวันหนึ่งมีคนที่เหมาะกว่าเรา ก็ให้เขามาแทนที่เราก็ได้ครับ และไม่ใช่หลังจากนั้นเราจะไม่ช่วยโครงการนี้นะ  เรายังคงช่วยเหลืออยู่ แต่ในบทบาทอื่น ๆ ที่อาจจะทำประโยชน์ให้กับโครงการนี้มากกว่าบทบาทของประธานโครงการที่เราไม่ได้ถนัดเลยด้วยซ้ำ

กลับมากลุ่มที่ 3 ในรูปต่อครับ คือกลุ่มงานที่ไม่ค่อยตอบเป้าหมายชีวิตเรา และ เราก็ไม่ค่อยอดทนกับงานนั้น อันนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนใครว่าครับ ว่า “เด็กสมัยนี้ ไม่ค่อยอดทนเลย” ก็อย่างที่บอกว่า บางทีเราไม่จำเป็นต้องอดทนในทุกเรื่องครับ เราพยายามปฏิเสธงานลักษณะนี้ เอาความอดทนที่ทุกคนก็มีอยู่จำกัด ไปใช้กับงานที่เราถนัด เราเก่ง และเราชอบดีกว่าครับ จริง ๆ เราสามารถช่วยเหลือตัวเราและสังคมได้หลายทางครับ ใช้เวลา ความสามารถ รวมถึงความอดทนไปในสิ่งที่มันสร้างประโยชน์สูงสุดไม่ดีกว่าเหรอครับ

กลุ่มที่ 4 คืองานที่ตอบเป้าหมายชีวิตเรา แต่เราไม่ค่อยอดทนกับสิ่งนั้น เช่น เราอยากเป็นผู้ประกอบการ แต่พอทำผลิตภัณฑ์มาอย่างหนึ่งขายไม่ได้ เราก็ล้มเลิกละ อันนี้แหละครับ ที่เราควรจะอดทน ทุกอย่างตอนเริ่มต้น มันไม่มีอะไรง่ายหรอกครับ มันต้องลองผิดลองถูก และตอนแรก ๆ มันผิดมากกว่าถูกทั้งนั้น คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่ไม่เคยล้มเหลวนะครับ เขาล้มเหลวมามากมายกว่าจะประสบความสำเร็จ แต่เขาผ่านความล้มเหลวแบบนั้นมาได้ เพราะเขาอดทนไงครับ อันนี้แหละครับ ถ้าผู้ใหญ่มาเตือนเราให้อดทน เราควรทำตามครับ เพราะมันเป็นความอดทนที่ตอบเป้าหมายในชีวิตของเรา

สรุปง่าย ๆ ว่า ความอดทนเป็นสิ่งที่ดีครับ ถ้าเราอดทนในสิ่งที่ควรอดทน ความอดทนก็เหมือนทรัพยากรอื่น ๆ เช่นกัน คือมันมีอยู่อย่างจำกัด ถ้าเราใช้มันพร่ำเพรื่อ ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานของเรามันก็จะไม่ดี แต่ถ้าเราเลือกใช้ให้ถูกที่ สุดท้ายเราก็จะประสบความสำเร็จ ประเด็นคือตอนนี้เราเคยถามตัวเองแล้วหรือยังว่า อะไรคือเป้าหมายชีวิตของเรา ถ้าได้ตรงนั้น คำถามว่า เราควรจะ “ทน” ทำสิ่งนี้ต่อไปหรือไม่ ก็คงไม่ใช่คำถามที่ยากนักในการหาคำตอบ จริงไหมครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ “ทน” อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

Recommended Posts

No comment yet, add your voice below!


Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *