ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ถ้า…

ระยะหลัง หลาย ๆ ท่านอาจจะได้ยินข่าว ทำนองว่า มหาวิทยาลัยหลายแห่งอาจจะต้องปิดตัว หรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะถูก Lay off แถมข่าวที่ว่าบริษัทชั้นนำของโลกหลาย ๆ บริษัท เช่น Google หรือ Apple ก็บอกว่า ไม่สนใจว่าผู้สมัครจะเรียนจบมหาวิทยาลัยหรือไม่

ก็เลยทำให้หลาย ๆ คนเริ่มที่จะไขว้เขวว่า เอ แล้วเราจะเรียนมหาวิทยาลัยดีไหม หรือเรียนไปทำไม

ต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่า ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผมไม่ได้เขียนบทความนี้มาบอกว่า มหาวิทยาลัยไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ผมยังเชื่อว่า มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้น และถ้ามหาวิทยาลัยไม่เปลี่ยนด้วยตัวเอง ก็อาจจะต้องถูกบังคับให้เปลี่ยน

ผมยังเชื่อว่าเราจะได้เห็นการปิดตัว การควบรวมมหาวิทยาลัย การปิดหลักสูตร หรือแม้กระทั่งการ Layoff อาจารย์ให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่บทความนี้เขียนขึ้นมาสำหรับผู้เรียนที่อาจจะอ่านข่าวตามกระแสต่าง ๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่า เอ งั้นเราคงไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยแล้วล่ะมั้ง

ผมเลยขอสรุปในความคิดของผมสั้น ๆ ว่า เราไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ถ้า…

1. ถ้าองค์กรที่เราอยากทำงานไม่สนใจเรื่องปริญญาบัตรหรือ Transcript จริง ๆ

ใช่ครับ ถึงแม้ว่า หลายองค์กรก็เริ่มบอกว่า เขาไม่สนใจว่าคุณจะจบปริญญาตรีมาหรือไม่ เขารับหมด แต่ถามว่าตอนนี้ทุกองค์กรเป็นแบบนี้ไหม ก็ต้องตอบว่ายัง ในอนาคต ก็อาจจะไม่แน่ครับ เขาอาจจะไม่สนกันหมดก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ความจำเป็นในการเรียนมหาวิทยาลัยก็อาจจะน้อยลง แต่ตอนนี้ต้องบอกว่า องค์กรส่วนใหญ่ยังมีข้อกำหนดว่าต้องเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท กันอยู่นะครับ แล้วเราจะเสี่ยงที่จะไม่เรียน แล้วไปลุ้นเอาว่า เมื่อไร เขาจะรับคนที่เรียนไม่จบหรือเปล่า ผมว่ามันเสี่ยงไปนะครับ

2. ถ้าเราสามารถไปประกอบวิชาชีพที่เรารักได้

หลายวิชาชีพในปัจจุบัน ถ้าเราไม่ได้เรียนผ่านหลักสูตรที่ได้รับการรับรองในมหาวิทยาลัย เรายังไม่สามารถไปประกอบวิชาชีพได้นะครับ ยกตัวอย่างเช่น แพทย์ ถึงแม้ว่า ถ้าเราสมมุติว่าเราเรียนเองได้ หรือมีหมอบางท่านมาสอนเรา (ซึ่งก็คงยาก) ถึงเข้าใจในเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ถามว่า แล้วเราไปเปิดคลินิกรักษาคนได้เลยไหม คำตอบคือยังไม่ได้นะครับ มันผิดกฎหมาย ในอนาคตไม่รู้ครับ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้ อาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี วิศวกรที่ต้องมีใบอนุญาตในการเซ็นอนุมัติ พวกนี้ยังถูกควบคุมอยู่ ถึงเราจะเรียนเองได้ แต่เราก็ออกไปทำงานไม่ได้อยู่ดี จนกว่ากฎระเบียบเหล่านั้นจะถูกยกเลิก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร แล้วเราจะยอมเสี่ยงหรือครับ

3. ถ้าเรามีวินัยในตัวเองที่ดีเพียงพอ

การเรียนในมหาวิทยาลัย มันคล้าย ๆ กับบังคับให้เราต้องเรียนรู้ครับ มันมีวันเวลาเรียนชัดเจน มีการวัดผลชัดเจน ผมถามว่า สมมุติว่าเราอยากเรียนเอง เราจะตื่นตอนเช้ามาแล้วนั่งเรียนตั้งแต่ 9 โมงถึงเที่ยงได้ทุกวันไหม เราจะกลับไปอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนไหม บางคนอาจจะตอบว่าได้ แต่ผมเชื่อว่า ถ้ามันไม่มีการเรียนแบบเป็นทางการ ไม่มีการสอบวัดผล ส่วนใหญ่มักจะทำไม่ได้ เอาง่าย ๆ ครับ ตัวผมนี่แหละ ตอนนี้ผมเรียน Online อยู่ ที่เขาไม่ได้มีการกำหนดเวลาว่าจะเรียนช่วงไหน ตอนนี้ผ่านไป 3 เดือนแล้ว ยังเรียนไม่จบเลยครับ ทั้ง ๆ ที่ชั่วโมงเรียนทั้งหมดมัน 10 กว่าชั่วโมงเอง ถ้าเข้าเรียนใน class เรียนจบไปนานแล้ว ถ้าท่านคิดว่าท่านมีวินัยในตัวเองมากพอที่จะเรียนเองได้ มหาวิทยาลัยก็อาจจะไม่จำเป็นสำหรับท่านก็ได้ครับ

4. ถ้าเราเลือกแหล่งเรียนรู้เองได้

ถ้าเราไม่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เราจะเรียนกันจากไหนครับ หลายคนคงตอบว่า ก็เรียนผ่าน Youtube หรือ Search หาใน Google ไง คำถามต่อไปคือ พอเรา Search ไปแล้ว เราเจอหลายแสน หลายล้าน Website ในเรื่องนั้น ๆ เราจะเรียนอันไหนดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Website ไหนมันดี ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การเรียนในมหาวิทยาลัยเรายังมีอาจารย์ ที่โดยรวมแล้ว (ไม่ได้บอกว่าทุกคนนะครับ) เราเชื่อว่า ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นท่านก็จะเลือกเอาเฉพาะองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับแล้วว่ามันถูกต้องมาใช้สอนนิสิต นักศึกษา แต่ถ้าในอนาคตมันมีระบบ AI หรือระบบอะไรก็แล้วแต่ ที่สามารถกรองและเลือกแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม ตอนนั้นมหาวิทยาลัยอาจจะมีความจำเป็นลดลงไปก็ได้ แต่ตอนนี้มันยังไม่มีแบบนั้น การเรียนในมหาวิทยาลัยก็อาจจะช่วยตรงนี้ได้ระดับหนึ่งทีเดียวล่ะครับ

5. ถ้าเรามีเงินมากพอในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้

เอาล่ะ หลายคนอาจจะบอกว่า เขาเลือกแหล่งเรียนรู้ได้ เขารู้ว่า Website ไหนมันดี คำถามต่อไปคือ แล้วเรามีเงินมากพอที่จะเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ไหม อย่างเช่น ถ้าเราเรียนรู้เอง แล้วเราต้องไป download paper มาอ่านเอง ท่านทราบไหมครับ paper หนึ่ง ค่า download มันเป็นหลักพันบาท แล้วถ้าวิชาหนึ่งเราควรอ่านสัก 10 paper มันก็หลักหมื่นแล้ว แต่เรียนในมหาวิทยาลัยมันมี Economy of Scale นิสิตนักศึกษาหลายคนอาจจะไม่ทราบว่า แต่ละมหาวิทยาลัยลงทุนไปเรื่องเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้เป็นหลักหลายสิบล้านบาท ทำให้ผู้เรียนเข้าถึง paper หรือแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ หรือ อย่าง Software ต่าง ๆ ที่เราใช้ประกอบการเรียน ถ้าเรียนรู้เอง อาจจะมี Youtube แสดงให้ดู แต่เราก็ต้องทำตาม เราก็ต้องซื้อ Software ท่านทราบไหมครับว่า License หนึ่งมันแพงแค่ไหน มันหลักหมื่น หลักแสน หรือ หลักล้าน ยังมีเลย นี่ยังไม่นับรวมสายวิทยาศาสตร์อีกนะครับ ถึงแม้ว่าจะอ่านหนังสือเองได้ แต่ถามว่า ถ้าจะต้องทำ Lab ทดลอง เราต้องไปซื้อเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ราคาอาจจะเหยียบสิบล้าน มาทดลองที่บ้านหรือเปล่า ใช่ครับ ในอนาคต ต่อไปถ้ามันมีคนเรียนรู้เองมาก ๆ เขาอาจจะมีธุรกิจให้เช่าทำ Lab ก็ได้ แต่ตอนนี้มันยังแทบจะหาไม่ได้ แล้วเราจะเรียนรู้กันอย่างไร อย่างว่าครับ ถ้าท่านมีเงินเหลือเฟือ จะซื้อมาได้เองทั้งหมด ก็คงไม่เป็นปัญหา แต่คิดว่าคนส่วนใหญ่คงยังทำไม่ได้ขนาดนั้น

6. ถ้าเราไม่จำเป็นต้องรู้จักใคร

การเรียนในมหาวิทยาลัยนอกจากได้ความรู้แล้ว เรายังมีโอกาสได้พบปะผู้คนจำนวนมาก ได้พบกับเพื่อนดี ๆ หลาย ๆ คน ได้ง่ายกว่าการเรียนผ่าน Youtube หรือ Google ที่บ้านอย่างแน่นอน Larry Page กับ Sergey Brin ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Google ก็เจอกันที่ Stanford หรือหลาย ๆ คนก็ได้เจอคู่ชีวิตกันในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย แต่ถ้าท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น อยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องรู้จักใคร อยากเรียนเองคนเดียว ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ

อย่างที่บอกนะครับ ผมเขียนบทความนี้มา ไม่ได้หมายความว่า มหาวิทยาลัยไม่ต้องเปลี่ยน ยังไงคนก็ต้องเรียน ผมเน้นว่า ผมเชื่อว่ามหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนครับ เพราะสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยน แต่ก็อยากให้นักเรียนมัธยมปลาย รวมถึงผู้ปกครองนักเรียนมัธยมปลาย ต้องลองพิจารณาดูดี ๆ อย่างเพิ่งอ่านเฉพาะข่าวที่อยู่ในกระแสว่า การเรียนในมหาวิทยาลัย อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนในมหาวิทยาลัยก็แล้วกันนะครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho หรือฟัง Podcast Nopadol’s Story ได้ที่ https://nopadolstory.podbean.com/

Recommended Posts

No comment yet, add your voice below!


Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *