ผมว่าสิ่งหนึ่งที่แยกระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจกับคนที่ “ยัง” ไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะไม่ใช่อยู่ที่ความรู้ความสามารถอย่างเดียว แต่อยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มเลยครับ
สังเกตไหมครับ คนที่สำเร็จ เขาจะลงมือทำ ส่วนที่ยังไม่สำเร็จคือคนที่ไม่เริ่ม สังเกตว่าผมไม่ได้เรียกว่าเป็นคนล้มเหลวด้วย เพราะเขายังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ ความยากอยู่ตรงนี้แหละครับว่า ทำไมเราจึงไม่กล้าที่จะเริ่ม
ถ้าถามแต่ละคน ก็คงมีเหตุผลกันหลากหลาย แต่ทั้งหมดทั้งปวงจะกลับมาอยู่กับคำ ๆ หนึ่งคือ “ความกลัว” เช่น เราไม่เริ่มเพราะเรากลัวจะล้มเหลว เรากลัวจะอับอาย เรากลัวเสียเงิน กลัวไปสารพัด สุดท้ายก็กลับมาที่งั้นอยู่แบบเดิมไปแหละดีแล้ว
แล้วเราจะเอาชนะความกลัวนี้ได้อย่างไร หนังสือหลายเล่มบอกเราว่า ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่เรากลัวนั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้นจริงมันก็มักจะไม่ร้ายแรงอย่างที่เราคิด แต่ก็นั่นแหละครับ คนที่กลัว เขาไม่คิดอย่างนี้ไง ทำไงได้ล่ะ ไม่งั้นจะเรียกว่ากลัวเหรอ
ถ้าจะให้ผมแนะนำคือ กลัวได้ครับ และจริง ๆ ความกลัวก็มีข้อดีที่ทำให้เราไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป แต่เทคนิคที่ผมมักจะใช้เวลาเริ่มรู้สึกกลัวจนไม่กล้าจะทำอะไร ผมจะเริ่มถามตัวเองอยู่ 2 ข้อครับ
ข้อแรกคือ ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ เราเดือดร้อนมากไหม ถ้าเดือดร้อนมากก็สมควรแล้วที่จะกลัว เช่น ถ้าเราต้องลงเงินไปเป็นจำนวนมากในการทำธุรกิจนี้ แล้วสมมุติว่ามันเจ๊ง เราจะไม่มีที่อยู่อาศัยเลย ลูกต้องออกจากโรงเรียน เราจะเลี้ยงดูพ่อแม่ไม่ได้ อย่างนี้ก็สมควรกลัวจริงไหมครับ แต่ถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้น ลองถามตัวเองว่าจะกลัวไปทำไม
ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจ ผมถึงมักจะแนะนำว่า อย่าเพิ่งทุ่มสุดตัวไปในสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจ (หรือจะแน่ใจก็เหอะ เพราะสิ่งที่เราแน่ใจ บางทีมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดซะทีเดียว) เริ่มเล็ก ๆ ทำแบบไม่ต้องกังวลมากดีกว่าเยอะ รวยเร็วไหม อาจจะไม่ แต่วิธีนี้ ผมเชื่อว่าทำธุรกิจแล้วมีความสุขเกือบจะแน่นอน
ข้อถัดมาคือ ถ้าทำไม่สำเร็จแล้ว ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม บางคนบอกว่า ไม่เป็นไร ถึงเจ๊งก็เงินพ่อแม่ แบบนี้ไม่ได้ครับ เราไม่เดือดร้อนแต่พ่อแม่เดือดร้อน แบบนี้ก็ยังไม่ดี วิธีแก้ก็เหมือนที่เล่ามาให้ฟังครับ อย่าเพิ่งทุ่มสุดตัว เที่ยวยืมเงินใครต่อใครเต็มไปหมด โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ที่เราเริ่มทำ
แต่ถ้า 2 ข้อนี้ผ่าน ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่เราจะไม่เริ่มนะครับ ผมบอกเสมอว่า ถ้าไม่ Work ก็แค่เลิก ถ้าจะเสียเงินไปบ้าง มันก็ไม่เยอะ (เพราะถ้าเยอะก็แปลว่า 2 ข้อนี้ไม่ผ่าน) แบบนี้จะทำให้เรากล้าทำอะไรได้อีกหลายอย่างครับ
ถัดมาสมมุติว่าเราเริ่มแล้ว ผมรับประกันได้ครับ เราจะต้องผ่านสิ่งที่หลายคนใช้คำว่าล้มเหลว เช่น ขายของแล้ว ลูกค้าไม่ซื้อ เปิดคอร์สสอนก็ไม่มีคนมาเรียน เขียน Blog ก็ไม่มีคนอ่าน ทำ Podcast ก็ไม่มีคนฟัง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ
อย่างแรกคือเราต้องรับผิดชอบครับ อย่าไปโทษสิ่งแวดล้อม โทษคนโน้นคนนี้ เพราะถ้าเราเอาแต่โทษทุกอย่าง ตัวเราเองนั่นแหละครับจะไม่พัฒนา พูดแบบนี้ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งแวดล้อมไม่ส่งผลนะครับ ส่งแหละ แต่อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านั้นเราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมได้คือตัวเราเอง
ทุกครั้งที่เราทำอะไรไม่สำเร็จ ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งนี้” แค่นี้เราก็จะเปลี่ยนคำว่า “ล้มเหลว” ที่หลาย ๆ คนชอบใช้ เป็นคำว่า “เรียนรู้” แล้วครับ และถ้าเราเตรียมความพร้อมตั้งแต่ตอนเริ่มอย่างที่เล่าให้ฟังว่า ถึงจะไม่สำเร็จเราก็ไม่เจ็บมาก แบบนี้จะล้มเหลวสักกี่ครั้ง เราก็จะสามารถลุกมาลองใหม่ได้ มันเหมือนเรามีภูมิคุ้มกันอยู่
สูตรนี้อาจจะไม่ได้เหมาะกับหลายคนที่ต้องการแบบสำเร็จเร็ว ๆ รวยภายใน 24 ชั่วโมงอะไรแบบนั้นนะครับ หลายคนอาจจะทำได้ก็ได้ แต่ผมทำไม่ได้ และก็ไม่ค่อยเจอตัวอย่างแบบนั้นสักเท่าไรด้วย
อย่าเพิ่งรีบรวยกันเลยครับ ค่อย ๆ รวยสนุกกว่าเยอะ ในความเห็นผมนะ
ข้อคิด การเริ่มลงมือทำ รับผิดชอบในความผิดพลาด และเรียนรู้ จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit
No comment yet, add your voice below!