ปรากฏการณ์ Domino

แนวคิดในเรื่องที่ผมกำลังจะเขียนนี้ มาจากหนังสือที่ชื่อว่า The One Thing ที่เขียนโดย Gary Keller และ Jay Papasan ซึ่งเป็นหนังสือที่น่าสนใจมากครับ หนังสือเล่มนี้ เขาบอกให้เราอย่าทำอะไรสะเปะสะปะ เรามีเวลาจำกัด มีทรัพยากรจำกัด ให้เรา “เลือก” ทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เพราะไม่เช่นนั้น เราจะหมดเวลาไป โดยเราจะไม่ก้าวหน้าไปไหน

แต่เรื่องที่จะนำมาเล่าและต่อยอดคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ปรากฏการณ์ Domino” ที่เขาเขียนในหนังสือเล่มนี้ครับ คืองี้ครับ ผมเชื่อว่าทุกท่านน่าจะเคยเล่น Domino คงไม่ต้องอธิบายกันนะครับว่ามันคืออะไร และผมก็เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านก็ไม่ได้เล่น Domino แบบที่เขาออกแบบมาให้เล่น แต่เอา Domino มาตั้งต่อ ๆ กัน และพอ Domino ชิ้นหนึ่งมันล้ม มันก็จะพาให้ชิ้นอื่น ๆ ล้มลงไปด้วย (นึกออกนะครับ 555)

นั่นแหละครับ ที่กำลังจะนำมาเล่า คือหนังสือเล่มนี้เขาบอกด้วยว่า จริง ๆ Domino ชิ้นเล็ก ๆ ถ้ามันล้มไปทับ Domino ชิ้นใหญ่กว่า Domino ชิ้นใหญ่มันก็จะล้มเช่นกัน และพอมันล้ม มันก็จะสามารถทำให้ Domino ชิ้นใหญ่กว่าล้มลงไปได้อีกเรื่อย ๆ มันก็เปรียบเสมือนความสำเร็จเล็ก ๆ ที่พอเราทำได้ มันก็ก่อให้เกิดความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นมา พอเราทำได้ มันก็ต่อยอดไปยังความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งที่ผมอยากต่อยอดคือ ถ้าเช่นนั้น เวลาเราจะเลือกทำอะไร เราต้อง Focus กับความสำเร็จเล็ก ๆ ก่อนครับ เพราะถ้าเราไปเริ่ม Focus กับความสำเร็จใหญ่มาก ๆ ใช้เวลานาน ๆ เรามักจะล้มเลิก เพียงแต่ว่าตอนเรา Focus ความสำเร็จเล็ก ๆ นั้น เราต้องมั่นใจด้วยว่า เราล้ม Domino ถูกอัน แปลว่า ถ้าอันนี้มันสำเร็จแล้ว มัน “น่าจะ” ทำให้เกิดความสำเร็จอะไรต่อมา แล้วอันนั้นมันใช่สิ่งที่เราต้องการด้วยหรือเปล่า

และหลาย ๆ ครั้ง บางที ความสำเร็จเล็ก ๆ ที่เราทำได้ มันทำให้เกิดโอกาส และไม่ใช่โอกาสเดียวแต่เป็นหลายโอกาส ตอนนี้แหละครับ ที่เราอาจจะต้องกลับมาตัดสินใจว่า เอ แล้ว เราจะไปทางไหน เพราะถ้าเราเลือกทำมันทุกอย่าง เราอาจจะไม่ได้ดีสักอย่างก็ได้ หรือแม้กระทั่งบางที เราทำอะไรสำเร็จแล้ว มันสร้างโอกาสในทิศทางที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ตรงนี้ก็เช่นกันครับ เราคงต้องเลือกว่า แล้วโอกาสที่มีใหม่นี้่ มันใช่เราไหม เราอยากจะทดลองไหม

ผมเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังครับ ผมก็เคยคิดว่า Domino ชิ้นแรกของผมคืออะไร บางทีคิดไป คิดมา มันไปไกลถึงตั้งแต่เกิดเลย 555 เพราะชีวิตเรามันก็เหมือน Domino นั่นแหละครับ แต่อันนั้นมันจะยาวไป ผมขอตัดตอนมาก่อนละกัน

จริง ๆ ผมเป็นคนชอบขีดเขียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว แต่ก็ไม่ได้เริ่มอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เด็ก ๆ เคยคิดว่าโตขึ้นอยากออกหนังสือพิมพ์ของตัวเอง แต่ยุคนั้น ความคิดแบบนี้เป็นเรื่องเพ้อฝันซะมากกว่า โตขึ้นก็ไม่ได้เรียนทางด้านวารสารศาสตร์ แต่กลับไปเรียนวิศวกรรมศาสตร์ จบมาเป็นวิศวกร สักพัก ก็ค่อยเปลี่ยนชีวิตมาเป็นอาจารย์ (ไปไง มาไง เอาไว้วันหลังเล่าให้ฟังนะครับ)

แต่ที่จะขอตัดตอนมาเล่าเรื่อง Domino ชิ้นแรกของผม ก็คือผมไปเข้าเรียนคอร์สการเขียนครับ คือก่อนหน้านั้นก็เคยเขียนตำรามาหลายเล่มแล้ว แต่อยากจะทำให้ตำราเหล่านั้น มันอ่านง่าย ก็เลยเข้าเรียนคอร์สการเขียน ซึ่งสอนโดยคนที่เขียนหนังสือระดับ Best Seller หลาย ๆ ท่าน เรียกว่าเข้าเรียนมันเกือบทุกคอร์สที่เปิดสอนเลยก็ว่าได้

ถ้าเรียนจบแล้ว ผมอยู่เฉย ๆ มันก็คงจบอยู่ตรงนั้น แต่ Domino ชิ้นแรกของผมคือ ผมกลับมาทำ Page ครับ เขียนทุกวันใน Page ที่ชื่อว่า Performance Measurement จนจากมีคน Like หลักร้อย กลายเป็นหลักพัน และกลายเป็นหลายหมื่นคน อันนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ อันแรกของผม

ต่อมาจากผลงานเขียนที่ผมเขียนใน Page ผมนำมาเรียบเรียงเขียนเป็นหนังสือที่ชื่อว่า “ความลับของการวัดผล” ซึ่งก็เป็นตามแผนที่ผมวางไว้ตั้งแต่ต้นแหละครับ จนหนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือ Best Seller ลำดับที่เคยติดสูงสุดคืออันดับ 10 ของประเทศ ซึ่งผมค่อนข้างแปลกใจทีเดียว เพราะไม่คิดว่าคนจะอ่านหนังสือแนววิชาการแบบนี้มากถึงขนาดนี้ อันนี้กลายเป็น Domino ชิ้นที่ 2 ซึ่งมันเป็นไปตามสิ่งที่ผมวางแผนไว้เช่นกัน

แต่หลังจากนี้แหละครับ ที่กลายเป็นที่มาของ Domino อีกหลาย ๆ ชิ้น ที่มันพร้อมจะล้มต่อ คือหลังจากหนังสือเล่มนี้ออกมา มันมีโอกาสจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการเชิญไปบรรยายตามองค์กรต่าง ๆ การเชิญไปเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กร ตรงนี้แหละครับ ที่ผมเข้ามาสู่ทางเลือกที่ผมจำเป็นต้องเลือกแล้ว ด้วยเหตุผลว่า ตอนนี้อาชีพหลักของผมคืออาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้น งานหลักของผมในฐานะของอาจารย์ ผมจะให้ความสำคัญก่อนงานอื่นเสมอ คือมันจะไม่ต้องเสียงานหลัก ส่วนเวลาที่เหลือ ผมจึงต้องเลือกว่าจะใช้ไปกับการทำอะไร

งานที่ผมมักจะรับ ส่วนใหญ่จึงเป็นงานที่ไม่ใช้เวลามากนัก (เพราะเวลาที่ว่างมีไม่มากแล้ว) และส่งผลกับคนจำนวนมาก ผมจึงมักจะรับงานสอน บรรยาย มากกว่างานที่ปรึกษา ถึงแม้ว่าหลายครั้งงานที่ปรึกษาอาจจะทำรายได้มากกว่าการบรรยายไม่รู้กี่ร้อยเท่า แต่มันไม่ใช่ One Thing ของผมเท่านั้นเองครับ เพราะผมเชื่อว่าถ้าผมเป็นที่ปรึกษาให้ องค์กรที่จะได้รับประโยชน์ก็น่าจะจำกัดอยู่องค์กรเดียว และใช้เวลาค่อนข้างมาก แต่ถ้าบรรยาย ด้วยเวลาเดียวกัน ผมทำได้หลายองค์กร และถ้าผมทำได้ดี คนที่ฟังการบรรยาย สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น

แต่ที่จะเล่าต่อคือ Domino ชิ้นที่ 3 ของผมคืออะไร จากงานที่มีจำนวนมากและผมต้องเลือกนั้น มีโอกาสอันหนึ่งเกิดขึ้นมาคือ ผมได้รับโทรศัพท์จากท่านอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ท่านบอกว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษา ณ ขณะนั้น (และขณะนี้คือท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาคนปัจจุบัน) ท่านอ่านหนังสือผมแล้วชอบ อยากเชิญไปพบ และเมื่อไปพบท่าน ท่านก็เลยให้โอกาสมาทำงานช่วยเหลือกระทรวงศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการวัดผลโรงเรียน

ก็ตามหลักของ One Thing ที่ผมเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ครับ คือ โอกาสอันนี้มันทำให้ผมน่าจะมีส่วนใช้ความรู้ความสามารถที่มีช่วยเหลือโรงเรียนซึ่งมีหลายหมื่นโรง พร้อม ๆ กันในเรื่องนี้ มันเป็นงานที่ส่งผลกับคนจำนวนมาก ซึ่งในที่สุดมันก็เกิด Domino ชิ้นที่ 4 ต่อมาคือ ผมก็ได้รับโอกาสเป็นหนึ่งในคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นที่รวมของผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ร่วมกันคิด ร่วมกันทำให้การศึกษาประเทศไทยดีขึ้น อันนี้ยิ่งเป็นโอกาสที่มากขึ้นไปอีก เพราะมันส่งผลกับคนไทยทั้งประเทศ เพราะการศึกษาที่ว่านี้ ไม่จำกัดเฉพาะเด็กนักเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกคน ทุกระดับเลย

จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ Domino ชิ้นที่ 5 ของผมก็เกิดขึ้น เมื่อท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านได้ให้โอกาสผมมารับตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมมีความชอบและสนใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมี Commitment ค่อนข้างเยอะมาก แต่อย่างที่บอกครับคือในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งานของมหาวิทยาลัยจึงมีความสำคัญก่อนงานอื่นเสมอ ผมจึงตกลงรับตำแหน่งนี้

ผมไม่รู้ว่า Domino ชิ้นที่ 6 จะคืออะไร แต่มันมาไกลมากจากการเขียนหนังสือขึ้นมา 1 เล่ม ผมไม่ได้บอกว่าทั้งหมดเกิดจากหนังสือเล่มเดียว ใช่ครับมันมีองค์ประกอบต่าง ๆ มากมาย เช่น ความรู้ความสามารถเรา คนที่เรารู้จัก แต่กำลังจะบอกว่าอย่างน้อยถ้าเราสร้าง Domino ของเราไว้ เริ่มต้นเล็ก ๆ มันจะค่อย ๆ สร้างโอกาสให้กับเรามากขึ้นเรื่อย ๆ และก็เป็นเรานั่นแหละครับ ที่จะคิดว่าเราจะล้ม Domino ตัวไหนต่อไป

ผมเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ ครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho

Recommended Posts

No comment yet, add your voice below!


Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *