ก่อนอื่นต้องบอกแบบนี้ก่อนเลยครับว่า การจบมหาวิทยาลัยที่ไหน ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวในการกำหนดความสำเร็จ ก็คงคล้าย ๆ กับปัจจัยอื่น ๆ เช่นเดียวกัน เช่น ไม่ได้เกิดมารวยก็สำเร็จได้อะไรแบบนี้
ดังนั้นเราคงไม่ได้ต้องมาเถียงกันว่า ต้องจบมหาวิทยาลัยดัง ๆ “เท่านั้น” ถึงจะประสบความสำเร็จ เพราะมันจะมีตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าคนเรียนไม่จบก็ยังสำเร็จได้อะไรแบบนี้
แต่ที่อยากจะเขียนบอกคือ หลัง ๆ ผมมักจะเห็นพวกค่าสถิติยืนยันออกมาทำนองว่า การจบมหาวิทยาลัยระดับ Top นั้นไม่ได้ส่งผลต่อความสำเร็จหรอก คนที่สำเร็จไม่ได้จบมหาวิทยาลัยดัง ๆ มีเยอะไป หรือแม้กระทั่งเรียนไม่จบก็ยังสำเร็จได้
ผมว่าข้อเขียนนี้ ถ้าคนอ่านอ่านผ่าน ๆ มันจะนำพาไปสู่ความคิดที่ว่าการเรียนในสถาบันดี ๆ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จเลย หรืออาจจะเลยเถิดไปสู่ความคิดที่ว่าไม่ต้องเรียนก็ยังได้
เอาล่าสุดที่อ่านเลยครับ นี่คือความเห็นจากคนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง David Kang ที่ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ Dartmouth College’s Tuck School of Business ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในมหาวิทยาลัยระดับ Ivy League เช่นเดียวกัน (ตอนหลังอาจารย์ย้ายไปทำงานที่ University of Southern California ซึ่งก็เป็นมหาวิทยาลัยระดับ Top เช่นเดียวกัน)
ขยายความนิดหนึ่งนะครับ Ivy League คือมหาวิทยาลัยระดับ Top ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 8 แห่งได้แก่ Princeton Brown Columbia Cornell Dartmouth Harvard Pennsylvania และ Yale
อาจารย์เขาเก็บข้อมูลส่วนตัวตั้งแต่ปี 1999 โดยเขาไปดู Profile ของ CEO ของบริษัทที่อยู่ Fortune 500 หรือแปลง่าย ๆ ว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก
เขาบอกว่าสิ่งที่เขาพบนั้นมันน่าประหลาดใจมาก เพราะเขาคิดว่าคนที่เป็น CEO ของบริษัทระดับนี้น่าจะต้องจบมหาวิทยาลัยดัง ๆ ที่อยู่ใน Ivy League แต่สถิติที่เขาพบคือ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จบจาก Ivy League และเขาไม่ได้เก็บข้อมูลมาปีเดียว เขาเก็บมาตลอด 20 ปี
อย่างข้อมูลล่าสุดในปี 2023 ถ้านับเฉพาะบริษัทที่อยู่ใน Fortune 100 คือบริษัท Top 100 สถิติที่พบคือ 11.8% เท่านั้นที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีและ 9.8% จบ MBA จากมหาวิทยาลัยที่อยู่ใน Ivy League นอกเหนือจากนั้นก็จบมหาวิทยาลัยระดับธรรมดา ๆ กันทั้งนั้น เรียนไม่จบเลยก็มี
เสร็จแล้วก็นำไปสู่ข้อสรุปว่า การจบมหาวิทยาลัยดัง ๆ นั้น ไม่ค่อยมีผลกับการเป็นผู้บริหารในองค์กรธุรกิจเท่าไรหรอก
มาถึงตรงนี้ อ่านแล้วก็อาจจะรู้สึกคล้อยตามใช่ไหมครับ ก็แค่ 11.8% ของ CEO เท่านั้นที่จบมหาวิทยาลัยดัง ๆ ที่เหลือเกือบ 90% ก็จบมหาวิทยาลัยธรรมดาหรือเรียนไม่จบ
แต่ เราลืมไปหรือเปล่าครับว่าบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยใน Ivy League มันมีจำนวนน้อยกว่าบัณฑิตที่จบมหาวิทยาลัยที่เหลือมาก ๆ เพราะมหาวิทยาลัยใน Ivy League มีแค่ 8 แห่งเท่านั้น แต่มหาวิทยาลัยในอเมริกามีเกือบ 4,000 แห่ง แปลว่ามหาวิทยาลัยใน Ivy League มีแค่ประมาณ 0.2% ของมหาวิทยาลัยทั้งหมด
ถ้าดูจำนวนนักศึกษาที่เรียนใน Ivy League พบว่ามีนักศึกษาเรียนอยู่ประมาณ 160,000 คน เทียบกับนักศึกษาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในอเมริกาทั้งหมดประมาณ 15 ล้านคน หรืออยู่ที่ประมาณ 1.07% เท่านั้น
แบบนี้ถ้าการจบ Ivy League ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อการขึ้นเป็น CEO ของบริษัทชั้นนำ จาก CEO ของบริษัทชั้นนำ 100 คน เราควรเห็นคนที่จบ Ivy League แค่ประมาณ 1 คนเท่านั้น แต่ตัวเลขมันออกมาถึงเกือบ 12 คน
คิดดูว่า Ivy League มีแค่ 8 ที่ มีนักศึกษารวมกันหลักแสน ยังสามารถผลิตบัณฑิตที่มาเป็น CEO ได้ 12 คนจาก 100 คนของบริษัทระดับ Top ในขณะที่มหาวิทยาลัยที่เหลือเกือบ 4,000 แห่งรวมกันมีนักศึกษารวมกันกว่าสิบล้าน แต่หลุดมาเป็น CEO ได้แค่ 88 คนจาก 100 คน แบบนี้ Ivy League ไม่ส่งผลเหรอ
เราจะดูแค่จำนวน % ของ CEO ที่จบจาก Ivy League ว่ามี CEO แค่ 11.8% จบ Ivy League เป็นตัวชี้วัดเดียวไม่ได้หรอกครับ เพราะจำนวนประชากรมันต่างกันแบบมหาศาล
ถ้าเป็นคนอื่นมาให้ข่าว ผมก็ไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไร แต่พอเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยระดับ Top เอง ซึ่งน่าจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องการทำวิจัย ตัวเลขแบบนี้ไม่น่าพลาด
หรือไม่อย่างนั้นผมก็อาจจะพลาดเองก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องขอคำชี้แนะด้วยครับว่าผมพลาดอะไรตรงไหนไป
สุดท้ายเน้นย้ำว่า ดีกรีมหาวิทยาลัยไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะส่งผลต่อความสำเร็จ มีอีกหลายปัจจัยแน่นอนครับ และเน้นอีกว่า ถ้าอยากจะรู้ว่าการจบ Ivy League ส่งผลต่อความสำเร็จหรือไม่ก็ต้องทำงานวิจัยที่มีความเข้มข้น มีการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ มากกว่านี้แน่นอน
เพียงแต่ไม่เข้าใจ Logic ของการบอกว่าดีกรีจากมหาวิทยาลัยระดับ Top ไม่ส่งผล จากตัวเลข % ที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้นครับ
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit