หลายคนคงเคยได้ยินว่าการจัดสมดุลระหว่างงานกับชีวิตหรือที่เรียกกันติดปากว่า Work Life Balance ทำให้เราได้ทั้งงานทั้งชีวิต กันมาบ้างแล้ว คำ ๆ นี้มักจะถูกเขียนอยู่ในหนังสือพัฒนาตัวเองหลาย ๆ เล่ม โดยเป็นแนวคิดว่าเราไม่ควรบ้างานมากจนเกินไปจนกระทั่งลืมเรื่องการใช้ชีวิต ที่หมายถึงเรื่องความสัมพันธ์ การดูแลรักษาสุขภาพกายใจ
ส่วนตัวผมเห็นด้วยนะครับว่า การทำอะไรที่ไม่สมดุลในระยะเวลานานเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ โดยไม่ได้สนใจเรื่องความสัมพันธ์หรือสุขภาพเลย แต่มุ่งหวังจะเอาแต่ความสำเร็จอย่างเดียว แบบนี้ไม่น่าจะดีแน่ ๆ เพราะในที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จ (ซึ่งก็ไม่ได้มีการรับประกันนะครับว่าทำงานหนักแล้วจะสำเร็จในเรื่องงานเสมอไป) แต่ความสำเร็จนั้นจะมีคุณค่าได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีใครคอยมายินดีกับเราเลย
คนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำและทำมากจนเกินไปนั้น มักจะมีไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว และเมื่อไม่ค่อยมีเวลาให้กัน โอกาสที่จะมีความสัมพันธ์ดี ๆ ก็น้อยลง ยิ่งถ้าเป็นลูก ๆ ด้วย ก็ต้องบอกว่ายิ่งเวลาผ่านไป เขาก็จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แปลว่า ถึงแม้ว่าเราจะสำเร็จในงานแล้ว หลังจากนั้นเราจะมีเวลาให้เขาได้แล้ว แต่การมีเวลาให้ลูก ตอนลูกอายุ 20 ปี ก็ไม่เหมือนกับการมีเวลาให้ลูกตอนลูกอายุ 5 ขวบหรอกนะครับ
อีกเรื่องคือเรื่องสุขภาพ ถ้าเราทำงานไม่หยุด ไม่สนใจดูแลทั้งสุขภาพกายใจ สุดท้ายถ้าสุขภาพเราทรุดโทรมลง ตอนนั้นถึงไม่อยากหยุดก็ต้องหยุดครับ เพราะร่างกายหรือจิตใจมันไม่ไหวแล้ว มีคนเคยเปรียบเปรยว่าเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องสุขภาพ มันเหมือนกับลูกแก้ว คือมันตกแล้วแตก แล้วยากที่จะกลับมาเหมือนเดิม ไม่เหมือนกับเรื่องงาน มันเหมือนกับลูกยาง คือตกไปแล้ว มันก็เด้งกลับมาใหม่ได้
ดังนั้นแน่นอนครับ เราควรจะแบ่งเวลาให้กับทั้งเรื่องาน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องสุขภาพ หรือเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญของชีวิต
ถ้าเช่นนั้นคำว่า Work Life Balance ทำให้เราได้ทั้งงานและชีวิต ก็น่าจะเป็นจริงใช่ไหม ถ้ามองเผิน ๆ อาจจะใช่ แต่ผมอยากลงรายละเอียดไปอีกครับ เพราะคำว่าสมดุลนั้น มันไม่ได้แปลว่าต้องเท่ากันตลอดเวลานะครับ หลายคนไปเข้าใจว่า Work Life Balance แปลว่า ทำงาน 8 ชั่วโมง และมีเวลาให้กับครอบครัวและออกกำลังกาย 8 ชั่วโมง ทุกวัน แบบนี้อาจจะยังไม่ใช่
ผมว่าจังหวะชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันครับ ใช่ครับบางช่วงงานหนักหน่วง เป็นไปได้ที่เราอาจจะต้องใช้เวลาเยอะหน่อยในช่วงนั้นกับการทำงาน อาจจะมีเวลาให้กับครอบครัวและสุขภาพน้อยหน่อย (แต่ก็ควรต้องมีบ้าง) ในทางกลับกัน บางช่วงที่ครอบครัวเราต้องการเรา หรือเราเริ่มอ่อนล้า มีความจำเป็นที่เราต้องให้เวลาให้กับครอบครัวและตัวเองเยอะหน่อย ลดงานลงบ้าง ก็เป็นไปได้
ดังนั้นคำว่า Balance จึงไม่ได้แปลว่าต้องเท่ากันทุกวัน ทุกช่วง เพียงแต่เราต้องปรับให้เหมาะสมกับจังหวะชีวิต แต่ก็ต้องระวังด้วยว่า อย่าไปผัดวันประกันพรุ่งจนกระทั่งไม่ได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย เช่น เราทำงานหนัก และก็บอกตัวเองว่าเอาไว้งานหมด จะได้พักเสียที บอกเลยครับแบบนี้จะไม่มีวันได้พักเลย เพราะตั้งแต่ผมเริ่มทำงานมา ยังไม่มีตอนไหนเลยครับที่งานจะหมด
ระวังเรื่องงานที่จะคืบคลานเข้ามายึดพื้นที่ส่วนตัวของเรานะครับ เรามีแนวโน้มที่จะโดนงานเข้ามาครอบครองวันหยุด มากกว่าจะโดนเรื่องความสัมพันธ์หรือสุขภาพมาครอบครองวันทำงานอยู่แล้ว
ลองหาจังหวะชีวิตเราให้เจอ ทำงานไปพร้อม ๆ กับสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่รัก และดูแลสุขภาพตัวเองไปพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องเท่ากันตลอดเวลา แต่ต้องปรับให้ถูกกับแต่ละช่วงเวลา แค่นี้ ผมก็คิดว่าเราจะมี Work Life Balance แล้วล่ะครับ
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit
No comment yet, add your voice below!