เราควรใช้ชีวิตให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย คำพูดนี้ เรามักจะเห็นอยู่เรื่อย ๆ เวลาอ่านหนังสือแนวพัฒนาตัวเอง โดยจุดประสงค์หลักของการให้คำแนะนำนี้คือ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อะไรที่เราอยากทำให้ทำเลย เพราะเอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราจะมีชีวิตไปถึงเมื่อไร
จริง ๆ เป็นข้อแนะนำที่ดีนะครับ เพราะหากเราเอาแต่รอไปเรื่อย ๆ ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรที่เราอยากทำ วันเวลาก็ผ่านไป ความฝันบางอย่างก็อาจจะหมดเวลาไปแล้ว ตามวัยที่เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายก็สอนให้เราเลิกยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ กล้าทำในสิ่งที่เป็นความฝันของเรา
เพียงแต่ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะมีความคิดเห็นแย้งกับคำพูดนี้ เพราะการมองว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายจริง ๆ เราอาจจะไม่อยากทำอะไรสักอย่างเลยก็ได้
ลองคิดภาพนะครับว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายจริง ๆ เราจะเดินทางไปทำงานไหม คำตอบของคนส่วนใหญ่ก็คือไม่หรอก เราคงอยากใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าเราใช้ชีวิตให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายแบบนี้ทุกวัน เราก็คงไม่เดินทางไปทำงานทุกวัน ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ เราก็คงถูกให้ออกจากงาน
หรือแม้กระทั่งความฝันของเรา เช่น เราอยากจะเป็นเจ้าของร้านกาแฟ ถามว่า ถ้าเราใช้ชีวิตให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายจริง ๆ เราจะไปดูสถานที่ เปิดร้านกาแฟไหม คำตอบคือก็คงจะไม่อีกแหละ เพราะเวลามันไม่พอที่จะไปทำอะไรแล้ว อยู่บ้านกับคนที่เรารักดีกว่ากันเยอะ
ผมเข้าใจครับคำว่า “เราควรใช้ชีวิตให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย” มันแค่คำเปรียบเทียบ คนแนะนำเขาก็คงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นวันสุดท้ายจริง ๆ หรอก หลายครั้ง เขาเลยพยายามปรับเวลาให้มันดูเป็นจริงมากขึ้น เพื่อให้เวลาเราได้คิดและทำตามฝันเราได้มากขึ้น เช่น ถ้าเราเหลือชีวิตบนโลกนี้อีก 1 ปี เราจะทำอะไร แบบนี้ เราก็คงกล้าที่จะเริ่มทำอะไรหลาย ๆ อยากที่คิดมาตั้งนานแล้วว่าจะทำ เช่น ถ้าอยากเปิดร้านกาแฟ ก็คงอยากรีบเริ่มไปหาทำเล รีบเปิดร้านอะไรทำนองนี้ ซึ่งเราจะไม่ทำแน่นอน ถ้าเราเหลือเวลาอีกแค่วันเดียว
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเราใช้คำว่า เราควรใช้ชีวิตให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย คือเรื่องความสัมพันธ์ครับ ทุกครั้งที่เราเจอคนที่เรารัก ลองพยายามคิดแบบนี้ดูว่า ถ้านี่คือการเจอกันครั้งสุดท้าย เราจะคุยกับเขาอย่างไร คิดแบบนี้แล้ว พวกอารมณ์โกรธ อารมณ์หงุดหงิด มักจะหายไป เพราะเราคงไม่อยากจากกันด้วยความไม่เข้าใจกันหรือความหงุดหงิดใช่ไหมครับ
หรือกิจกรรมใดก็ตามที่เรามักจะผัดผ่อนไปก่อน เพราะยังไม่เห็นความเร่งด่วน เช่น การไปหาคุณพ่อคุณแม่ การพาลูกไปเที่ยว อะไรทำนองนี้ ลองคิดว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย อาจจะของเรา หรือของเขาก็ได้ เราจะทำอย่างไร แบบนี้ เราจะตระหนักรู้ว่า ไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน อะไรที่เราอยากทำ และทำได้เดี๋ยวนี้ทันที ทำไปเถอะ เพื่อเราจะได้ไม่มาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง
ถึงแม้ว่า ในความเป็นจริงโอกาสที่วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเราหรือของคนที่เรารักมีน้อยมาก ๆ แต่คำพูดนี้ก็เป็นข้อเตือนใจเราได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit
No comment yet, add your voice below!