เริ่มมาด้วยคำถามนี้ ผมว่าร้อยทั้งร้อย ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกครับที่ไม่หวังดีกับลูก เรามีลูก เราก็ย่อมอยากให้ลูกเราได้ดี ประสบความสำเร็จ และมีความสุขทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็พอจะบอกได้ว่าเรา เลี้ยงลูกด้วยความหวังดี กันทั้งนั้น
ใช่ครับ การทำสิ่งที่เราในฐานะพ่อแม่หวังดี ส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าการเตือนให้เขาตั้งใจเรียน การให้เขารักษาสุขภาพ ไม่นอนดึก ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงสิ่งเสพติด ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย หรืออีกร้อยพันประการ ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนมีเจตนาอยากให้ลูกประสบแต่สิ่งดี ๆ
เพียงแต่ว่า ทุกอย่าง ถ้ามันมากจนเกินไป มันก็จะเริ่มไม่ดี แม้กระทั่งความหวังดีก็เหอะ ถ้ามันเยอะเกินไป มันส่งผลเสียได้เช่นกัน
ทำความหวังดี ถึงสามารถส่งผลเสียกับลูก ๆ ได้ อย่างแรก คือ คำว่าหวังดี มันมีคำว่า “ดี” อยู่ คราวนี้คำถามคือ “ดี” นี่ใครเป็นคนกำหนด ถ้าเราทำด้วยความหวังดี แน่นอน เรามักจะเป็นคนกำหนดคำว่า “ดี” ซึ่งปัญหาจะเกิดขึ้นได้ เพราะคำว่า “ดี” ของเรา กับ “ดี” ของลูกเราอาจจะแตกต่างกัน
สมมุติว่าเราอยากให้ลูกเป็นหมอ (หรืออาชีพอื่นก็ได้นะครับ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่อาชีพนี้) เพราะเราหวังดีกับลูก เรารู้ว่า เป็นหมอเป็นอาชีพที่มีเกียรติ คนเคารพ รายได้ดี และน่าจะมีความมั่นคงพอสมควร เราเคยเห็นคุณหมอหลาย ๆ คนที่เราเคารพ เขาก็มีชีวิตที่ดี คนนับหน้าถือตา เราก็เลยมีความ “หวังดี” อยากให้ลูกเราทำตาม
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีนั้น ลูกเราอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้ เขาอาจจะไม่ชอบหมอ เขาอาจจะอยากทำอาชีพอื่น ที่พ่อแม่ก็คิดว่าไม่เห็นจะดีเลย ถ้าพ่อแม่หวังดีเกินไป ก็อาจจะไม่อนุญาตหรือปิดกั้นลูกทันที โดยเอาความรักมาเป็นสิ่งต่อรอง ประมาณว่า ลูกรู้ไหมว่า พ่อแม่รักลูกนะ พ่อแม่ถึงอยากให้ลูกเป็นหมอ ถ้าไม่รัก ไม่บังคับหรอก ถ้าลูกรักพ่อแม่จริง ลูกก็น่าจะทำในสิ่งที่ (พ่อแม่คิดว่า) ดีต่อตัวลูก ประมาณนี้
คำว่าหวังดี ยังมีคำว่า “หวัง” เด็กทุกคนแหละครับ ไม่มีใครอยากทำให้พ่อแม่ผิดหวังหรอก พ่อแม่อุตส่าห์เหนื่อยกายเหนื่อยใจกับเรามาตั้งเยอะ อดหลับอดนอน เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงปัจจุบัน พ่อแม่ขอให้เราเรียนเรื่องนี้ เอาก็เอา ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ถือว่าทดแทนบุญคุณพ่อแม่
เราก็จะเจอเด็กจำนวนไม่น้อยเลยครับ ที่ลงเอยไปทำอาชีพที่ตัวเองไม่ได้รักจริง ๆ เรียนก็ทรมานไม่สนุก ทำงานก็เบื่อ เซ็ง ซังกะตาย เพราะตกอยู่กับหลุมพรางของคำว่า “หวังดี” นี่แหละ
ถ้าโชคดีหน่อย ก็อาจจะผ่านไปได้ และมีชีวิตที่ดี แต่ถ้าบางคนก็อาจจะเครียดจนกระทั่งเป็นโรคซึมเศร้า กดดันกับตัวเอง และมีชีวิตอยู่อย่างทรมานไปตลอด ถามว่า ถ้าเราเป็นพ่อแม่ เราอยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือ
พ่อแม่หลายคนอาจจะคิดว่า ตอนเด็ก ๆ เราก็โดนพ่อแม่เราบังคับแบบนี้แหละ เห็นไหม ตอนนี้เราก็มีชีวิตที่ดี เหมือนกับจะเป็นเครื่องยืนยันว่า การโดนพ่อแม่บังคับให้ทำอะไร เป็นสาเหตุทำให้ เขาได้ดีในปัจจุบัน แต่ลองมองอีกมุมนะครับว่า มันอาจจะเป็นว่า เขาได้ดีในปัจจุบัน “ทั้ง ๆ ที่” พ่อแม่บังคับก็ได้ ถ้าไม่บังคับเขาอาจจะได้ดีมากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่าก็ได้ใช่ไหมครับ
งั้นแปลว่า เราไม่ต้องสนใจลูกเลยใช่ไหม อยากทำอะไร ทำไปเลย อยากเข้ารกเข้าพงยังไง ก็ตามใจเลยหรือเปล่า ไม่ใช่ครับ หน้าที่ของพ่อแม่คือการให้คำปรึกษา ให้ข้อมูลที่รอบด้าน ให้การสนับสนุนในสิ่งที่เขารักและสนใจ แต่ไม่ใช่การกดดันหรือบังคับขู่เข็ญให้ทำในสิ่งที่เราอยากได้ โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของเขาเลย
เราเห็นว่าอาชีพไหนดี บอกเขาได้ครับ ยกตัวอย่างได้ ผมเชื่อว่าเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น เขามีความคิด เขามีสมองที่จะไตร่ตรองเลือกทางเดินได้ ยิ่งเขาโต เราต้องยิ่งปล่อยมือให้มากขึ้นครับ เด็กอนุบาลเราอาจจะต้องตัดสินใจแทนเขาเยอะหน่อย เพราะเขาไม่รู้ในหลาย ๆ เรื่อง แต่เราควรจะเริ่มปล่อยมากขึ้น เมื่อเขาเติบโตขึ้น
ถ้าเราไม่ปล่อยเลย มันจะออกไป 2 ทางครับ ทางแรก คือเขาจะตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลย ทำงานแล้ว ยังต้องมาถามพ่อแม่ตลอดว่าทำอันนั้นได้ไหม ทำอันนี้ได้ไหม เราจะต้องคอยตัดสินใจแทนเขาไปถึงเมื่อไรครับ หรือไม่อีกทางหนึ่งก็ต่อต้าน ออกนอกลู่นอกทางกันไปเลย บังคับกันดีนักใช่ไหม หนีออกจากบ้านดีกว่า ไปอยู่กับเพื่อนที่เข้าใจเรามากกว่าพ่อแม่ดีกว่า เราอยากได้แบบนั้นเหรอครับ
ใช่ครับ บริบทของแต่ละท่านก็อาจจะแตกต่างกันไป แนวคิดการเลี้ยงลูกของแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน และผมก็ไม่มีสิทธิอะไรที่จะก้าวก่ายความเชื่อและความเป็นคุณพ่อคุณแม่ของแต่ละท่านเลยนะครับ เพียงแต่ลองเปิดใจ และพิจารณาดี ๆ ก่อนนะครับว่า ความหวังดีของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกเราได้ดี มีความสุขจริง ๆ หรือ แค่นั้นเองครับ
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit
No comment yet, add your voice below!