ตอนแรกว่าจะรอเอาไปเล่าใน Podcast แต่คิดอีกที เขียนไว้ก่อนดีกว่า กันลืม แต่บอกก่อนนะครับ ยาวหน่อยนะครับ เพราะจะเอาไปใส่ไว้ใน Blog Nopadol’s Story ด้วย
.
ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่าผมไม่ใช่นักวิ่งอะไร แบบมือสมัครเล่นมาก ๆ คนที่เขาวิ่งกันเป็นอาชีพ อาจจะอ่านแล้ว รู้สึกว่าอะไรมันจะขนาดนั้น half marathon นี่มันขนมกรุบ ของเขาเลย
.
แต่ก็ยังอยากเล่าอยู่ดี ผมคิดว่าส่วนใหญ่คนที่วิ่งมาราธอน ก็ต้องเคยวิ่ง half marathon (21.1 กิโลเมตร) มาก่อน และคงจำความรู้สึกนั้นได้
.
เรื่องมันเริ่มต้นแบบนี้ครับ (เห็นป่ะ เวอร์วัง อลังการมาก 555)
.
แต่ก่อนผมไม่เคยวิ่งเลย ไม่เคยสนใจด้วย คุณพ่อเป็นคนชอบวิ่งออกกำลังกาย ชวนผมมาหลายรอบ ผมปฏิเสธอย่างเดียว คิดในใจด้วยว่า วิ่งทำไมเนี่ย มันเหนื่อย แถมเบื่ออีกต่างหาก
.
แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบออกกำลังกายนะ แต่ชอบเตะบอล ตีแบด แบบนี้มากกว่า ไหน ๆ จะเหนื่อยทั้งที มันต้องสนุกด้วยสิ
.
และแล้ว ก็มาถึง moment ที่ไปตรวจร่างกาย แล้ว ค่าไขมันมันเกินกำหนด แถมมีไขมันเกาะตับ ทำให้ตับอักเสบอีกต่างหาก
.
หมอก็บอกว่า วิธีที่ดีที่สุดคือลดน้ำหนัก แต่ก็นั่นแหละ ผมว่าทุกคนก็รู้ แต่มันทำไม่ได้ไง 555
.
ผมก็เลยคิดถึงการออกกำลังกายมา ครั้นจะไปนัดเพื่อนเตะบอลทุกวัน มันก็คงไม่ได้ ตีแบด ก็ยาก เพราะมันก็ต้องมีคนตีด้วย แต่ขืนไม่ออกกำลังกาย ร่างกายเราก็แย่แน่ ๆ
.
ก็เลยคิดว่า เอาล่ะ วิ่งก็ได้ฟะ แล้วก็ออกวิ่ง
.
ใหม่ ๆ บอกได้ว่าแค่ 3 กิโลเมตร ก็เหนื่อยแฮ่กแล้ว คิดในใจ ไม่สนุก ๆ แต่ก็ไม่อยากเลิก อ้อ ลืมบอก นี่คือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
.
วิ่งได้สักสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเอง เพราะเวลาจะวิ่งที ก็ต้องขับรถไปสวนสาธารณะ ก็ขี้เกียจ เอาเป็นว่าวินัยเรื่องนี้ แทบไม่มีเลย เละเทะมาก
.
ต่อมา ย้ายบ้าน เมื่อสักประมาณปีกว่าแล้ว ตอนนี้เริ่มกลับเข้าสู่ Mode การวิ่งมากขึ้น เพราะที่บ้านใหม่ วิ่งในหมู่บ้านได้สะดวก เรียกว่าใส่รองเท้าแล้วออกวิ่งได้เลย
.
ก็วิ่งหมู่บ้านเรื่อย ๆ ได้สักเดือนละ 80 กิโลเมตร ระยะวิ่งเพิ่มเป็น 5 กิโลเมตรละ แต่บอกเลยว่าวิ่งได้ช้าสุด ๆ Pace ปาไป 8 หรือ 9 โน่น ฮึดสุด ๆ คือ 7 ไม่เคยเร็วกว่านั้น (ในระยะ 5 กิโลเมตรนะ)
.
สัปดาห์หนึ่งวิ่งได้สัก 4 วันมั้ง และก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะวิ่งให้ได้ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งปีนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว
.
เคยมีบางวัน อากาศดี ๆ เคยวิ่งไปได้เต็มที่ 10 กิโลเมตรก็มีเหมือนกัน แต่นับครั้งได้เลย ส่วนใหญ่วิ่งแค่ 5 กิโลเมตรก็พอ
.
ปีนี้ น้องชายเคยชวนไปวิ่งในรายการวิ่งครั้งหนึ่ง ก็เป็นครั้งแรกด้วย ก็ลงระยะ 10 กิโลเมตรนี่แหละ หมดแรงสุด ๆ เลย แต่ก็วิ่งจบนะ Pace ไม่ต้องถาม รู้สึกรายการนั้น ระยะ 10 กิโลเมตร แต่วิ่งจริง ๆ 12 กิโลเมตร มากสุดในชีวิตการวิ่งละ
.
เกริ่นมาซะยาว แล้ว First half marathon มันมาไงเนี่ย
.
คือเมื่อคืนนี้ นั่งคิด OKRs ของปีหน้าอยู่ คิดตอนกำลังจะหลับว่า เออ ปีหน้า ตั้งเป้าหมายอะไรดีหว่า เพราะจะเอาไปเขียนใน Blog และพูดใน Podcast วันสิ้นปี
.
พอมาถึงเรื่องออกกำลังกาย ตอนแรกก็คิดว่า เอาว่า ตั้งเป้าเหมือนเดิมดีกว่า คือ วิ่งให้ได้ 1,000 กิโลเมตร แต่คิดไปคิดมา เอ เราทำได้แล้วนี่หว่า เอาให้มันมากขึ้นไหม ก็ OKRs นี่มันต้องตั้งแบบ Moonshot ดิ ในใจก็เลยคิดว่า งั้นสัก 1,200 กิโลเมตรดีกว่า แค่นี้ก็โหดแล้ว (สำหรับผม) คือได้สักเดือนละ 100 กิโลเมตร ก็น่าจะพอ
.
แต่มีแว้บนึง คิดว่า เอ หรือว่า ตั้งว่า เราจะวิ่ง Half marathon ให้ได้สักครั้งดี แต่คิดแล้ว ก็คิดใหม่ว่า อย่าเลย เอาแค่วิ่ง 10 กิโลเมตร ให้ได้บ่อย ๆ ก่อนค่อยว่ากัน เสร็จแล้วก็หลับ…
.
ตื่นขึ้นมา ก็มานั่งขีด ๆ เขียน ๆ อะไรสักพัก ตามปกติที่ทำ วันนี้วันเสาร์ด้วย ไม่ได้ไปไหน เผลอลืมไป ปกติจะออกวิ่งเช้ากว่านี้ พอกำลังจะออกวิ่ง ภรรยาบอกกินข้าวไหม เสร็จแล้ว ก็ลังเล แต่ก็กินก็ได้ เพราะหิว 555
.
กว่าจะออกวิ่งก็เกือบ 8 โมง แต่ตอนเช้ามันครึ้ม ๆ อากาศไม่ร้อน ก็พอได้ ปกติ 8 โมงนี่กลับเข้าบ้านแล้วนะ
.
ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ เกี่ยวกับ Half marathon ทั้งสิ้น
.
ก็วิ่งไปตามปกติเรื่อย ๆ ฟัง Podcast ที่ตัวเองพูด (คนอะไร พูดเอง ฟังเอง) แต่จริง ๆ นะครับ ฟังทุกตอนด้วย อยากรู้ว่า พูดรู้เรื่องไหม ตกหล่นอะไรไปไหม หรือเสียงมันชัดไหม จะได้ปรับปรุง
.
ฟัง Podcast ตัวเองจบ ก็ฟัง Podcast Mission to the Moon ของคุณรวิศต่อ อันนี้ฟังทุกวันเป็นประจำอยู่แล้ว ยังไม่ทันจบ ก็ครบระยะ 5 กิโลเมตรแล้ว
.
ตอนนั้นก็คิดว่า เอ วิ่งต่ออีกนิดดีกว่า เพราะ Podcast คุณรวิศยังไม่จบ ฟังให้จบ แล้วค่อยเลิก วันนี้แดดไม่ร้อนด้วย…
.
ก็วิ่งต่อไปได้ระยะทางรวมสัก 6 กิโลเมตร Podcast คุณรวิศก็จบ ในใจยังคิดอยู่เลยว่า คุณรวิศนี่เก่งเนอะ มีวินัยสูงมาก และยังจำ moment ได้ว่า แกเคยวิ่ง Marathon ครั้งแรก ในสวนสาธารณะที่ญี่ปุ่น แบบวิ่งเอง
.
และแล้ว อยู่ดี ๆ ความคิดมันก็เข้ามาในหัว…
.
หรือว่า เราเอาบ้างดีกว่าป่ะเนี่ย วิ่ง Half marathon ก็พอ แต่ก็คิดกลับไปกลับมาว่า เห้ย วิ่งมากสุดที่เคยทำคือ 12 กิโลเมตร Half marathon มัน 21 กิโลเมตรไม่ใช่เหรอ เวอร์ไปป่ะเนี่ย…
.
แต่เนื่องจากเวลาผมวิ่ง ผมจะวิ่งในหมู่บ้าน 1 รอบ อยู่ที่ประมาณ 4 กิโลเมตรกว่า ๆ เกือบ 5 กิโลเมตร และตอนที่คิดนี่ก็อยู่ไกลบ้านละ ก็เลยคิดว่า ก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ก่อน ไม่ต้องคิดไรมาก เดี๋ยวถึงบ้านก็คิดอีกที…
.
พอวิ่งมาถึงบ้าน ตอนนั้นระยะทางสัก 8 กิโลเมตรละ ก็เริ่มสับสน เอาไง ๆ กลับเข้าไปบ้านดีป่ะเนี่ย (วันนี้โชคดีที่กินข้าวเช้ามาก่อนวิ่ง ซึ่งปกติไม่ได้กิน ถ้ายังไม่ได้กิน รับรองว่าคงหิว และเข้าบ้านชัวร์) วิ่งผ่านหน้าบ้านไปละ คิดอีกว่า เอาสัก 10 กิโลเมตรละกัน ส่งท้ายปีเก่าหน่อย…
.
Podcast ฟังจบหมดแล้ว จะฟังอะไรดี เอา Audiobook ดีกว่า ผมมี Audiobook เล่มหนึ่งที่ฟังค้างอยู่ ชื่อ Profitable Podcasting คือตั้งแต่ทำ Podcast ก็เลยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำ Podcast ด้วย (แต่เป็น Audiobook คือใช้ฟังเอา)
.
ก็ฟังไปเรื่อย ๆ จนถึงระยะ 10 กิโลเมตร คราวมาอีกแล้ว ความลังเล คือเอาไง ๆ เลิกดีไหม และต้องบอกว่า ตอนนี้แดดเริ่มร้อนขึ้นแล้ว…
.
คิดต่อไปอีก เอ เราเคยวิ่ง 12 กิโลเมตรนี่หว่า ขอวิ่งอีกหน่อย ให้ทำลายสถิติตัวเองก็พอมั้ง
.
ก็เลยวิ่งต่อไปอีก…
.
อ้อ ระหว่างวิ่ง มีน้ำกับขนมพร้อม คือไม่ได้เตรียมมาหรอกนะครับ เพราะตอนออกไปเนี่ย กะวิ่งแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เส้นทางการวิ่งมันผ่าน 7-11 และมีเงินติดไป 100 บาท (คือปกติ ชอบวิ่งไปซื้อของกินตรงหน้าหมู่บ้าน 555 อย่าบอกคุณหมอผมนะครับ)
.
ก็เลยแวะเข้า 7-11 ซื้อน้ำเกลือแร่ดื่ม และมีแวะซื้อหมูปิ้ง 3 ไม้ กินด้วยอีกต่างหาก
.
ยังคิดในใจเลยว่า โห เหมือนงาน event เลยนะเนี่ย ไม่ต้องไปไหนแล้ว วิ่งในหมู่บ้านเรานี่แหละมีซุ้มของกินด้วย (เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเอง แต่จะว่าไปก็ถูกกว่าไปวิ่งในงานนะ)
.
ครบ 12 กิโลเมตรเรียบร้อย เอาไงต่อดีเรา…
.
บอกเลยครับ กำแพงตรงนี้สำหรับผม มันหินสุด ๆ คือมันไม่มี Milestone เหลืออยู่อีกแล้ว คือทำลายสถิติตัวเองไปแล้ว และออกไปนอก comfort zone ด้วย เพราะไม่เคยวิ่งมากกว่านี้มาก่อน…
.
เสียงในหัวทยอยเข้ามาเพียบ เช่น
“คือจะวิ่งเอาโล่ห์เหรอพี่ เข้าบ้านมาตรวจข้อสอบดีไหม”
“ตอนนี้แดดร้อนมากแล้วนะ (อันนี้ร้อนจริง) เดี๋ยวก็เป็นลมไปหรอก”
“ถ้าไม่เคยซ้อมมา วิ่งเยอะเกินไปเดี๋ยวเจ็บแล้วจะยุ่งนะ (อันนี้ก็จริงนะครับ)”
.
ถึงตรงนี้ ขอบอกก่อนว่า ตรงนี้เราต้องรู้ตัวเองด้วยนะครับ ถ้ามันไม่ไหว ต้องหยุดนะครับ อย่าฝืน อย่ามาแบบ เห้ย ฉันต้องทำให้ได้ เพราะการวิ่งนี่ถ้าฝืนมากไป อันตรายถึงชีวิตเช่นกัน
.
แต่ส่วนตัว ผมวิ่งมาประจำ ตอนนั้น ถามว่าเหนื่อยไหม ก็พอได้นะ ไม่ได้มากอะไร
.
ก็เลย เอาล่ะ ลองลุยดูสักที…
.
ต้องบอกว่ากิโลเมตรที่ 12 ถึง 13 ของผม เป็นกิโลเมตรที่ยาวที่สุดในการวิ่งแล้ว เพราะมันเต็มไปด้วย เหตุผลที่ผมควรจะเลิก…
.
และแถมว่า มันร้อนสุด ๆ ด้วย ตอนนั้น ไม่ได้ดูนาฬิกา แต่ด้วย Pace 9 วิ่งไป 12 กิโลเมตร มันต้องใช้เวลาไปกว่าชั่วโมง 40 นาที ตอนออกมาก็เกือบ 8 โมงแล้ว คือมันใกล้ 10 โมงแล้วนี่หว่า…
.
แดดร้อนของจริงครับ คราวนี้ เข้า 7-11 ซื้อน้ำเป็นว่าเล่น (คือรอบหนึ่งประมาณ 4 กิโลเมตรที่ผมจะเจอ 7-11) พนักงานมองหน้าทำนองว่า พี่บ้าป่ะเนี่ย 10 โมง แดดร้อน ยังวิ่งทำไม…
.
มีรถขับผ่านไป ผมก็คิดในใจว่า เขาคงคิดว่าไอ้นี่ต้องบ้าแน่ ๆ ร้อนขนาดนี้ ยังมาวิ่งอีก
.
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ขาไม่ปวด ไม่อะไรทั้งสิ้น (คนที่เป็นนักวิ่งคงคิดเนอะ แหมวิ่งแค่นี้ มันจะปวดอะไร)
.
ฟัง Audiobook ไปเรื่อย ๆ ดูระยะทางอีกที 16 กิโลเมตรแล้ว เหลืออีก 5 กิโลเมตร…
.
นี่เป็นอีกครั้งที่ความคิดจะล้มเลิก เข้ามาอีก เพราะร้อนจริง ๆ ครับ
.
“นี่ถ้าเป็นลมมา จะเป็นไง ไม่ใช่งาน Event นะ มันไม่มีคนช่วย” (ซึ่งก็ต้องระวังนะครับ ถ้าใครจะทำแบบนี้ ต้องรู้ตัวเองจริง ๆ )
.
แต่ก็คิดในใจว่า ก็เดี๋ยวเราวิ่งผ่านบ้าน บ้านใกล้แค่นี้ ไม่ไหวก็เดินเข้าบ้าน…
.
แต่บอกจริง ๆ ว่าตอนกิโลเมตรที่ 17 คืออยากเลิกแล้วล่ะ ร้อนเกินไปแล้ว แดดเปรี้ยงมาก ๆ คิดในใจ เอาไว้วันหลังตื่นตี 4 มาวิ่ง น่าจะดีกว่านี้ (และแนะนำจริง ๆ นะครับ คนจะวิ่งยาว ๆ ตื่นเช้า ๆ มาวิ่งดีกว่าเยอะ อย่ามาเริ่มวิ่งแบบผม ไม่ดีต่อสุขภาพเลย ขอบอก)
.
แต่ มีจุดเปลี่ยนอีกอย่าง…
.
ตอนที่คิดว่าจะเลิก หนังสือที่ฟังอยู่ ก็กำลังจะจบ เขาดันมีเรื่องเล่าของซิลเวสเตอร์ สตาโลน ดาราชื่อดัง…
.
เรื่องมันมาทำนองว่า ตอนแรกสตาโลน จนมาก จนกระทั่งต้องขายสุนัขของตัวเอง แต่ไม่ย่อท้อ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ…
.
และหนังสือเล่มนั้นที่ผมกำลังฟังอยู่ จบด้วยคำว่า Never Give Up โห มาจังหวะนี้เลยทีเดียว…
.
เอาก็เอา อีกแค่ 4 กิโลเมตรเอง… แต่ความร้อนมามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันจะ 11 โมงแล้ว…
.
ความคิดอยากเลิกมาตลอดนะ แต่ผมเริ่มใช้วิธีทักทายกับความคิดอยากเลิก… แบบประมาณว่า พอคิดว่าจะเลิก ก็บอกว่า สวัสดีเพื่อน เราเข้าใจว่านายเป็นห่วง แต่เราว่า เราพอได้ ขอบคุณนะที่เตือน…
.
บางทีคิดไปคิดมา เอ้ย หรือว่า หลอนแล้ว เริ่มคุยกับตัวเองแล้วเรา 555 ใครมีประสบการณ์แบบนี้ มาช่วยแชร์หน่อยก็ได้นะครับ
.
และแล้ว โทรศัพท์ก็ดังขึ้น… ลูกโทรมา บอกแม่ (คือภรรยาผมนั่นแหละ) ถามว่า จะวิ่งไปถึงไหน เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก 555
.
เลยต้องกลับไปบอกว่า ยังไหวนะ ถ้าไม่ไหว สัญญาว่าจะเลิก…
.
แต่ 3 กิโลเมตรหลัง ผมวิ่งใกล้ ๆ บ้านแล้ว ไม่อยากไปไกล เพราะเผื่อไม่ไหวมา ยังมีคนอยู่ใกล้ ๆ …
.
และแล้ว ก็มาถึงกิโลเมตรที่ 20 มาตรงนี้ คิดในใจว่า จบแน่ ๆ อีก 1 กิโลเมตร Pace มาจากไหนก็ไม่รู้ เร็วเชียว…
.
เดาว่า คนวิ่งมาราธอน คงมีอารมณ์นี้เหมือนกันมั้ง เดาเอานะครับ
.
ตอนนั้น เปิด Google search เลยว่า Half marathon ระยะจริง ๆ คือเท่าไร คือไม่อยากให้พลาดไปแบบขาดไป 100 เมตรไรแบบนั้น…
.
ก็เลยรู้ว่า ระยะจริง ๆ 21.0975 กิโลเมตร ผมก็เลยวิ่งสัก 21.1 กิโลเมตร
.
แล้วก็จบซะที …
.
ถามว่า แล้วรู้สึกอย่างไร เคยมีคนบอกว่า ตอนวิ่ง Half ครั้งแรก เข้าเส้นชัย แล้วร้องไห้เลย…
.
แต่ ผมไม่มี moment แบบนั้นเลยนะ มีอย่างเดียวคือ ร้อนมากกกก มันเกือบจะ 11 โมงครึ่ง คือจะเที่ยงอยู่แล้ว…
.
และก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่า อยากจะวิ่งมาราธอนต่ออะไรแบบนั้นนะ ส่วนตัวเลยนะ ผมว่าการวิ่งระยะไกลแบบนี้ ไม่ใช่การออกกำลังกายที่เราควรทำ มันหนักไป (ยกเว้นคนชอบ คนรักการวิ่ง และเตรียมตัวมาพอ อันนั้นก็อีกเรื่องนะครับ)
.
อีกอย่าง เน้นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ คือร่างกายต้องพร้อม ถ้าไม่ไหวอย่าฝืน วันก่อน เห็นคุณรวิศเขียน เรื่องที่แกไปวิ่งที่สิงค์โปร์แล้วไม่จบ ที่เรียกว่า DNF หรือ Do Not Finish เพราะแกว่ิ่งแล้วรู้สึกไม่ไหว…
.
คนอื่นมาให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไร เอาไหม เป็นบทเรียน เรียนรู้จากความล้มเหลว อะไรทำนองนั้น…
.
บอกตามตรงเลย ผมเห็นอีกด้าน ผมว่า นี่คือความสำเร็จ และ ความกล้าหาญมาก ๆ คนที่กล้าที่จะเลิก เมื่อเราคิดว่ามันยังไม่ใช่ มันยังไม่พร้อม เป็นคนที่มีความกล้ามาก ๆ
.
อย่าเอา Ego เป็นตัวนำ โดยทำให้มันอันตรายต่อสุขภาพเลยครับ…
.
กลับมาถึง มานั่งคิดว่า เอ แล้วเรามาวิ่ง Half ทำไมเนี่ย ก็ตอบตัวเองได้ว่า ผมอยากรู้ความรู้สึกเท่านั้น เวลาคนเล่าให้ฟัง ถึงอารมณ์การวิ่งมาราธอนครั้งแรก มันได้แต่ฟัง …
.
ผมรู้ครับว่า อันนี้มันแค่ Half marathon ยังไม่ใช่มาราธอน แต่สำหรับคนที่วิ่งจาก 5-10 กิโลเมตรที่เคยทำ แล้วมาวิ่ง Half มันคงคล้ายกับคนวิ่ง 20-30 กิโลเมตร แล้วมาวิ่งมาราธอนเหมือนกัน (เดาเอานะ)
.
ร่ายมาซะยาว ต้องบอกอีกว่า มาราธอนแรกในชีวิต ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายผมอยู่ดี แต่มันก็ไม่แน่ ถ้ามันมีอารมณ์แบบวันนี้ ใครจะไปรู้
.
รู้อย่างเดียว คือ อย่าเริ่มวิ่งตอน 8 โมงอีก เท่านั้น !
อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho หรือฟัง Podcast Nopadol’s Story ได้ที่ https://nopadolstory.podbean.com/
4 Comments
ยินดีด้วยครับอาจารย์ แต่เป็นการวิ่งที่ต้องใช้ความตั้งใจ (บ้า) มากพอสมควรที่วิ่ง first half Marathon ตอน 8 – 11 โมงเช้า ???????????
ขอบคุณครับ
อาจารย์คะ อ่านเรื่อง half แรกแล้วเป็นห่วงขาอาจารย์ค่ะ เพราะระยะที่เพิ่มมันเยอะมาก ยืดเหยียดระหว่างวันเยอะ ๆ นะคะ จะรออ่าน (และฟัง) เรื่องฟูลแรกค่ะ 🙂
ขอบคุณครับ