ถ้าเราอยากให้ลูกโต เราต้องปล่อยมือจากลูก

ผมจำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพื่อนผมคนหนึ่งที่เขามีลูกก่อนผมสักระยะหนึ่ง เขาเคยบอกผมตอนที่เจอกัน แล้วผมบ่นให้ฟังว่า การเลี้ยงลูกเล็ก ๆ นี่เหนื่อยสุด ๆ เลยนะ เมื่อไรจะโตสักทีก็ไม่รู้ เพื่อนผมคนนี้บอกว่า ไม่เกี่ยวหรอกว่าลูกเล็กหรือโต เราเป็นพ่อแม่เหนื่อยตลอดแหละ แต่อาจจะคนละแบบ ตอนนั้นก็คิดแย้งว่า โตแล้วไม่น่าจะเหนื่อยเหมือนตอนลูกเล็ก ๆ นะ

จนมาถึงตอนนี้ ตอนที่ผมมีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นทั้งคู่เลย ก็เลยอยากจะบอกว่า เป็นอย่างที่เพื่อนผมพูดเลย แต่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าจะขู่คนอื่นว่าอย่ามีลูกเลยนะ คือถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแต่ความสุขที่ได้รับจากการมีลูก สำหรับผมก็คุ้มค่ากับความเหนื่อย ให้ย้อนเวลากลับไปได้ ถามว่าจะมีลูกไหม ตอบได้ทันทีว่าอยากมีเหมือนเดิมนี่แหละ อาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกผมบอกผมตอนผมมีลูกคนแรกว่า การมีลูกคือ “ความสุขที่เจ็บปวด” ผมว่าเป็นนิยามที่ใกล้เคียงกับความจริงมาก

ถามว่าแล้วแตกต่างกันตรงไหน ระหว่างตอนลูกเล็ก ๆ กับตอนลูกเป็นวัยรุ่น นึกภาพแบบนี้ครับ หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกที่โรงพยาบาล ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป วันที่พาลูกกลับมาบ้าน ผมจำได้ว่า มีแต่ความกังวล จะให้นมลูกอย่างไร ลูกไม่นอนทำอย่างไร สารพัดที่จะเป็นห่วง คนที่เป็นคุณพ่อคุณแม่คงเข้าใจ เราเป็นห่วงไปเกือบทุกอย่างที่อาจจะทำอันตรายลูกเราได้

เราใช้ชีวิตอยู่แบบนี้มาตลอดตั้งแต่เรามีลูก คือเราพยายามปกป้องลูกเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสุขภาพร่างกายของลูก เวลาลูกตัวร้อน เราทุกข์ร้อนมากไปว่าลูกซะด้วยซ้ำ เวลาลูกเศร้า เราเสียใจไม่น้อยไปกว่าลูก เราอดหลับอดนอนมากี่คืนแทบจะนับไม่ถ้วน เพียงเพราะว่าลูกเราไม่นอนตอนกลางคืน

แล้ววันเวลาก็ผ่านไปจนถึงจุดหนึ่ง เป็นจุดที่พ่อแม่ต้องเริ่มเรียนรู้ทักษะใหม่ที่มันแตกต่างไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดใน 10 กว่าปีที่ผ่านมา คือทักษะการปล่อยมือจากลูก

ทำไมต้องปล่อยมือ เพราะถ้าเราไม่ปล่อยมือจากลูก ลูกจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ ถ้าเป็นนก ลูกเราก็จะคงอยู่ในรังที่อบอุ่น ปลอดภัย โดยมีเราปกป้องอยู่ตลอด แต่ปัญหาคือ เราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า เราจะปกป้องลูกไปได้อีกสักเท่าไร และถึงวันที่ไม่มีเราแล้ว ลูกเรายังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ บินด้วยตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นเขาจะลำบากมากในการเผชิญกับชีวิต โดยไม่มีเราอยู่เคียงข้าง

แต่การปล่อยมือจากลูกเป็นสิ่งที่มันขัดกับสิ่งที่เราทำมาตลอดตั้งแต่ลูกเกิด อย่างน้อย ๆ ก็สิบกว่าปีที่ผ่านมา มันทำใจได้ยากที่จะยอมให้เขาทำอะไรก็ตามที่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำแบบนี้มันล้มเหลวแน่ ๆ แต่ถ้าเราไม่ปล่อย เขาก็จะไม่มีวันได้เรียนรู้เลยว่าความล้มเหลวคืออะไร ชีวิตแบบนั้นจะเป็นชีวิตที่เปราะบางเหลือเกิน

ผมเคยมีพี่ที่เคารพคนหนึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกกับผมว่า เราให้ลูกลองถูกมาตลอดชีวิตแล้ว ถึงเวลาให้ลูกลองผิดบ้าง เขาจะได้เรียนรู้และเติบโตจากการตัดสินใจผิด ๆ ของเขา ให้ลองผิดเนี่ยนะ เราเคยทำซะที่ไหน เรามีแต่ให้เขาทำตามคำแนะนำของเราที่เราเลือกมาแล้วว่าดี

ใช่ครับ เรายังคงให้คำแนะนำเขาได้ ให้ข้อมูลเขาตัดสินใจได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราคิดว่าดี อะไรคือสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดี แต่สุดท้ายแล้วเราคงต้องปล่อยมือจากเขาไป เพราะถ้าเรากุมมือเขาไว้ตลอด เขาจะไม่มีวันโต

ไม่ใช่ลูกเท่านั้นที่จะเติบโตจากการที่เราปล่อยมือจากเขา ตัวเราก็จะเติบโตเช่นเดียวกัน เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตในช่วงเวลานี้เช่นกัน ผมจำได้ว่าตอนลูกชายผมขี่จักรยานครั้งแรก ผมก็วิ่งจับจักรยานเขาไม่ให้ล้ม แต่การประคองเขาไม่ให้ล้ม สุดท้ายเขาก็ยังขี่ไม่เป็น จนกระทั่ง ผมยอมปล่อยมือจากจักรยาน และเขาเริ่มล้มและได้แผลนั่นแหละที่ทำให้ในเวลาต่อมา เขาก็ขี่จักรยานเป็นอย่างรวดเร็ว

ชีวิตเราก็เช่นกัน การปล่อยมือ ไม่ใช่การเพิกเฉยในทุกเรื่อง อย่างจักรยาน ตอนเขาหัดขี่ ผมก็ไม่ได้ให้เขาไปหัดที่ทางด่วน แบบถ้าล้มไปจะมีอันตรายมาก ๆ ผมให้เขาหัดในหมู่บ้าน ดังนั้นถ้าเราต้องปล่อยมือจากลูก ก็ลองค่อย ๆ ปล่อยมือในเรื่องที่เราคิดแล้วว่าถ้าลูกล้มแล้ว มันยังแค่แผลถลอก แต่ไม่ได้อันตรายมากมายถึงชีวิต

แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ต้องมาถึงวันที่ลูกจะต้องขับรถขึ้นทางด่วนด้วยตัวเอง หรือถึงวันที่เราต้องปล่อยมือทั้งหมดอยู่ดี เราจะทำหน้าที่เป็นกองเชียร์เขาอยู่เท่านั้น เขาจะโบยบินมีชีวิตของเขาอย่างมีความสุข

อาจารย์ที่ปรึกษาผมคนเดิม เคยบอกผมว่า ถ้าเราปล่อยเขาไป สักวันเขาจะกลับมา แต่ถ้าเราขังเขาไว้ เขาจะออกไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่รู้มีความเป็นจริงแค่ไหน แต่ก็อยากเอามาเล่าให้ฟัง

เรื่องเลี้ยงลูกคงไม่ได้มีสูตรสำเร็จ ความคิดเห็นก็ไม่จำเป็นต้องตรงกัน วันก่อนไปเจอข้อความใน IG @raisingteenstoday เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า

“Hey, Mom, if you want me to grow, you’ve got to let me go” หรือแปลเป็นไทยว่า

“แม่ ถ้าอยากให้ผมเติบโต แม่ต้องปล่อยมือจากผม”

ช่างเป็นข้อความที่โดนใจจริง ๆ ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะครับ

ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit

Recommended Posts