ถ้าจะให้เลือกลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราเป็นที่รักของคนรอบข้าง นิสัยนั้นคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา คำว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา มันคือการสร้างความเข้าใจ และไม่ได้เข้าใจแบบธรรมดา ๆ นะครับ มันต้องเข้าใจแบบว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรเลย
คำว่าเราเป็นเขา ไม่ได้แปลว่า เอาตัวตนเราเข้าไปแทนตัวตนเขานะครับ แต่การเข้าไปเป็นตัวตนเขาอย่างเต็มตัว ผมเคยเห็นหลายคนชอบบอกว่า “ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าผมเป็นคุณนะ ผมจะ…” แบบนี้สำหรับผม ผมว่าเรายังไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรานะครับ เราแค่เอาตัวตนเราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เขา แต่ถ้าเราจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา มันจะต้องหมายถึงว่า ถ้าเราเป็นเขาเลย ถูกเลี้ยงดูมาแบบเขา (ไม่ใช่แบบเรา) ถูกแรงกดดันจากครอบครัวแบบเขา (ไม่ใช่แบบเรา) หรืออื่น ๆ ที่เป็นประสบการณ์ที่เขาเจอมา ผ่านมา แล้วตัวเราจะรู้สึกอย่างไร
ใช่ครับ การทำแบบนี้มันยากมาก เพราะเราไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาแบบเขา เราไม่ได้ถูกแรงกดดันจากครอบครัวแบบเขา เราไม่เคยมีประสบการณ์แบบเขา เราจึงไม่สามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ 100% แต่เราสามารถทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้แปลว่าเราจะสนับสนุนทุกอย่างที่เขาทำนะครับ ถ้าเขาทำผิด มันก็คือผิด แต่การเอาใจเขามาใส่ใจเราจะทำให้เราเข้าใจเขาได้ดีขึ้น มากขึ้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหา
ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่กับลูกก็ได้ครับ ถ้าพ่อแม่รู้จักเอาใจลูกมาใส่ใจเรา เราจะไม่ตัดสินเขาโดยใช้ประสบการณ์ของเรามาเป็นตัวนำ เช่น ถ้าลูกบอกว่า พ่อแม่ ผมไม่อยากไปโรงเรียน ถ้าเราเริ่มดุทันทีว่าทำไมขี้เกียจแบบนี้ อย่างนี้แสดงว่าเราไม่ได้นึกถึงจิตใจเขาเลยตั้งแต่แรก
แต่ถ้าพ่อแม่เริ่มบอกว่า พ่อแม่เข้าใจนะ เพราะตอนพ่อแม่เด็ก ๆ พ่อแม่ก็เคยขี้เกียจเหมือนกัน แต่พ่อแม่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร ไปโรงเรียนซะเถอะ เดี๋ยวก็หายเบื่อเองแหละ อันนี้ดีขึ้นมาหน่อย เพราะมีความพยายามทำความเข้าใจในความรู้สึกลูก แต่ก็ยังเอาประสบการณ์เรามาเป็นที่ตั้ง
แต่ถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเราจริง ๆ เราต้องเข้าไปเป็นลูกเราจริง ๆ เลยครับ ไปรับรู้ความรู้สึกเขาจริง ๆ ไม่ใช่เอาความรู้สึกของเราตอนเด็ก ๆ ไปเป็นตัวแทน มันยากครับ เพราะเราไม่ใช่ลูกเรา แต่เราสามารถทำความเข้าใจได้ เช่น เด็กสมัยนี้การบ้านก็เยอะ แถมยังมีเรียนพิเศษอีก ที่โรงเรียนที่ลูกเราเรียนก็มีการแข่งขันกันสูง เพื่อน ๆ ก็ไม่ค่อยคุยเล่นกัน จึงไม่แปลกเลยที่ลูกเราจะเบื่อและไม่อยากไปโรงเรียน การที่เราเข้าใจเขาแบบที่เราเป็นเขาจริง ๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการหาทางออกร่วมกัน เพื่อทำให้เขาอยากไปโรงเรียนมากขึ้น
นิสัยการเอาใจเขามาใส่ใจเรานี่แหละครับ จะทำให้เราเป็นที่รักของคนรอบข้าง เพราะทุกคนคงอยากจะอยู่ใกล้ ๆ คนที่เข้าใจเขาอย่างแท้จริงจริงไหมครับ
และมีงานวิจัยจำนวนไม่น้อย หนังสือหลาย ๆ เล่มก็บอกตรงกันว่าปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนเรามีความสุข ไม่ใช่เงินทอง หรือของนอกกาย แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ชิดเรานี่แหละ
เป็นไปได้อย่าไปทะเลาะกับใครโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับคนรอบข้าง บอกคนมีลักษณะของการเอาชนะ ฉันยอมไม่ได้ ฉันจะต้องไม่ผิด ผมมีหลักการคิดอย่างหนึ่ง เวลามีอารมณ์แบบนี้ ลองถามตัวเองว่า “เราอยากจะเป็นคนถูก หรือ เราอยากจะมีความสุข” หลาย ๆ เรื่องการเป็นคนถูก ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย แถมความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดก็แย่ลงไปอีก และสุดท้ายไม่มีใครมีความสุขได้สักคน
ก็อีกนั่นแหละครับ ไม่ได้หมายความว่า งั้นต้องยอมทุกเรื่อง เราต้องเลือกครับ อะไรมันสำคัญมาก ยอมไม่ได้ ก็ยอมไม่ได้ อะไรที่ไม่มีสาระ ปล่อยได้ ปล่อยเถอะครับ โลกเรายังไม่เรื่องราวที่ทำให้เราต้องคิดมากกว่าเรื่องเหล่านี้ตั้งเยอะ
หวังว่าทุกท่านจะสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ดีขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นกันนะครับ
ข้อคิด รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit
No comment yet, add your voice below!