ผมว่าหลายคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่แบกรับความคาดหวังของคนรอบตัวมาโดยตลอด เช่น ตอนเด็ก ๆ หลายคนก็ได้รับความคาดหวังจากคุณพ่อคุณแม่ให้เรียนเก่ง ๆ ได้เกรดดี ๆ จะได้เข้าคณะดี ๆ เรียนจบมาก็คุณพ่อคุณแม่ก็คาดหวังว่าจะต้องประกอบอาชีพนี้ ต้องได้เงินเดือนเยอะ ๆ ทำงานในองค์กรที่มั่นคงอะไรแบบนี้
บางคนอาจจะคิดว่าเอาล่ะ เราทำตามที่คุณพ่อคุณแม่คาดหวังแล้ว ต่อไปนี้ขอเราใช้ชีวิตเราบ้าง ยังครับ บางบ้าน ยังเลยไปถึงเรื่องคู่ครองอีก คุณพ่อคุณแม่คาดหวังว่าจะต้องได้ลูกเขยลูกสะใภ้แบบนี้เท่านั้น ถึงลูกจะรัก แต่ถ้าไม่ได้ตามที่พ่อแม่บอก พ่อแม่รับไม่ได้นะ
ไม่ใช่แค่คุณพ่อคุณแม่ ยังมีคนรอบข้างอีก พี่น้องคาดหวังว่าเราจะต้องช่วยเหลือเขา เพื่อน ๆ คาดหวังว่าเราจะต้องไปตามนัดเวลานัดเจอกัน หัวหน้าที่ทำงานคาดหวังว่าวันเสาร์อาทิตย์ เรายังคงต้องมาทำงาน เพราะงานนี้มันสำคัญ
และเกือบทั้งหมด ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องคาดหวังให้เราทำโน่น ทำนี่ เยอะขนาดนี้ ส่วนใหญ่คำตอบก็คือ “ที่ให้ทำอย่างนี้ ก็เพราะหวังดีนะ”
ใช่ครับ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือใคร ๆ ก็ตาม สิ่งที่เขาคาดหวังจากเรา ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเขาหวังดีจริง ๆ นั่นแหละ เพียงแต่ความหวังดีของเขา กับความต้องการของเรา มันไม่เหมือนกัน และสุดท้ายถ้าเราต้องทำตามความหวังดี แต่เราไม่ได้ทำตามความต้องการของเรา คนที่ทุกข์ก็คือตัวเรานี่แหละ
เรื่องนี้ถ้าจะแก้มีอยู่ 2 วิธีคือ แก้ที่คนคาดหวัง กับ แก้ที่คนถูกคาดหวัง เอาวิธีแรกก่อน คือ ถ้าเราเป็นคุณพ่อคุณแม่เราต้องลดความคาดหวัง ความหวังดีเราลงบ้างครับ ใช่ครับ ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกอยากให้ลูกลำบากหรือไม่มีความสุข ที่ทั้งดุ ทั้งเตือน ทั้งบังคับนี่ก็อยากให้ลูกสบายทั้งนั้น เพียงแต่ว่า เราอาจจะมองข้ามความต้องการของลูกไปเลยเหรอเปล่า อันที่เราอยากให้เขาสบายน่ะ เขาสบายจริงไหม เขามีความสุขจริงไหม
ไม่ได้แปลว่าคุณพ่อคุณแม่จะพูดอะไรไม่ได้เลย เราให้ข้อแนะนำได้ เราให้ข้อมูลได้ แต่สุดท้ายคนที่ควรจะตัดสินใจควรเป็นลูก ไม่ใช่เรา เพราะเขาจะต้องอยู่กับสิ่งที่เขาตัดสินใจไปทั้งชีวิตเขาเลย เราไม่สามารถไปสั่งเขาทำทุกอย่างอย่างที่เราต้องการได้ทั้งชีวิตหรอกนะครับ
โดยทั่วไปลูกทุกคนเขาก็รักตัวเอง ไม่แพ้เรารักเขาหรอกครับ เขาก็อยากได้ดี อยากมีความสุขทั้งนั้น ถ้ามันไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางไปมากมาย ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตของเขาบ้าง ลดความหวังดีหรือความคาดหวังของตัวเราลงบ้าง ทั้งเราและลูกจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ
หรือถ้าไม่ใช่พ่อแม่ก็หลักการเดียวกันครับ พี่น้อง เพื่อน หัวหน้า ลดความคาดหวังบางอย่างที่ไม่จำเป็นลง ความสัมพันธ์ของเราจะดีขึ้นทันที ไม่ได้แปลว่าต้องลดเหลือศูนย์ แบบฉันไม่หวังอะไรจากแกแล้ว ขนาดนั้น แต่อย่าให้มันเยอะเกินไปจนกลายเป็นแรงกดดันหรือความเครียด
อีกวิธีหนึ่ง ถ้าเราไม่สามารถลดความคาดหวังจากคนอื่นได้ ก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวเรานี่แหละ เราอาจจะต้องเริ่มทำตามสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น ลดความรู้สึกผิดที่เราไม่ได้ทำตามความคาดหวังของคนอื่นลง ตอนเริ่มต้นอาจจะค่อย ๆ เปลี่ยนก็ได้ อย่าเพิ่งหักดิบ แบบอยู่ดี ๆ วันหนึ่ง ฉันจะไม่ฟังใครแล้วนะ ถึงกับขนาดนั้น จะให้ดีที่สุดคือ คุยกันครับ ลองคุยกับคุณพ่อคุณแม่ดู เช่น ถ้าเป็นเรื่องงาน ลูกขอเลือกเองนะ อาจจะไม่ได้ถูกใจพ่อแม่มากนัก แต่ก็เป็นงานที่สุจริตและลูกชอบ น่าจะดีกว่างานที่ลูกทำแล้วมีแต่ความทุกข์ แต่ถูกใจพ่อแม่จริงไหม
พิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นว่า การที่เราเลือกทางของเราเองนั้น มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่พ่อแม่เป็นห่วงหรอกนะ ไม่ได้แปลว่าจะไม่ฟังพ่อแม่เลย อะไรที่เขาแนะนำแล้วดีกับเรา เราก็ทำตาม อะไรที่เราคิดว่าเราทำอย่างที่เราต้องการก็น่าจะดีกว่าก็บอกเขา
ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน อีกฝ่ายลดความคาดหวังของตัวเองลง อีกฝ่าย ลดความรู้สึกผิดที่จะต้องทำตามสิ่งที่คนอื่นคาดหวังจากตัวเองลง กล้าทำสิ่งที่ตัวเองต้องการมากขึ้น ผมว่าโลกเราจะสดใสขึ้นเยอะเลยล่ะครับ
ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ทาง Page Nopadol’s Story หรือ Nopadol’s Story Podcast ใน Podbean Soundcloud Apple Podcast Spotify YouTube หรือ Blockdit
No comment yet, add your voice below!