ทักษะที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับ ผู้บริหาร พนักงาน หรือแม้กระทั่งผู้ประกอบการ คือ “การพูด” เนื่องจากทุกคนไม่ว่าจะมีหน้าที่อะไรก็ตาม ต้องรู้จักการสื่อสารเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง เช่น นักขาย ก็จำเป็นต้องพูดเพื่อโน้มน้าวใจให้ลูกค้ารู้สึกสนใจในสินค้าของบริการที่ตนเองต้องการจะขาย CEO ก็ต้องพูดเพิ่มโน้มน้ามใจให้พนักงานทุกคนปฏิบัติงานไปในทิศทางที่องค์กรต้องการ หรือผู้ประกอบการเอง ก็ต้องพูดเพื่อที่จะทำให้นักลงทุนยอมนำเงินมาร่วมลงทุนในบริษัทของตน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการพูดนั้น ถึงแม้ว่าจะดูเผิน ๆ ว่าเป็นสิ่งที่ใครก็ทำได้ เพราะเราก็พูดกันมาตั้งแต่เกิด และทุกวันเราก็ยังคงพูดกันตลอดเวลา แต่การพูด “ที่ดี” นั้น แท้จริงแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ ทักษะอันนี้ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างชำนาญ จึงจะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
ดังนั้นเราจึงได้เห็นคอร์สเรียนสอนการพูดเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการพูดจำนวนไม่น้อย และนอกจากนี้ก็ยังมีเวที “การพูด” ที่เกิดขึ้นมากมาย โดยเวทีเหล่านี้ จะนำเอานักพูดระดับโลก หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่าง ๆ มาเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟัง และเวทีการพูดเวทีหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกคือเวทีที่เรียกว่า TED Talk โดย TED นั้น ย่อมาจากคำว่า Technology Entertainment และ Design ซึ่งเหมือนกับเป็น Theme หลักของการพูดของเวทีนี้นั่นเอง
TED conference เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้วคือตั้งแต่ปี 1984 จนมาถึงปัจจุบัน TED Talk กลายเป็นเวทีการพูดระดับโลก มีผู้ชม ผู้ฟังจำนวนมากที่ได้เข้าร่วมฟังทั้งในรูปแบบของการพูดสดในแต่ละสถานที่ทั่วโลก รวมถึงการฟังผ่านสื่อออนไลน์หลากหลายช่องทาง
การที่เราจะสามารถฝึกทักษะการพูดของเราให้ดีขึ้นได้นั้น นอกจากการเข้าคอร์สเรียนฝึกฝนแล้ว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการได้เห็นตัวอย่างการพูดของนักพูดระดับโลก เพื่อจะได้นำไปปรับใช้ในการพูดของเราเอง แต่อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งคือ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามฟังหรือดูการพูดของนักพูดระดับโลกเหล่านั้น บางครั้ง เราก็ไม่สามารถ “ถอดรหัส” ออกมาได้ว่า เขามีเทคนิคอะไรที่ทำให้เขาพูดได้จับใจคนฟัง หรือดึงดูดความสนใจคนฟังได้ในระดับนี้
นี่คือที่มาของหนังสือที่ชื่อว่า Talk Like TED ที่แต่งขึ้นโดย Carmine Gallo ซึ่งเป็นนักเขียนระดับ Best Seller และเป็นผู้ที่ศึกษาความสำเร็จของนักพูดระดับโลกมาเป็นระยะเวลายาวนาน ก่อนที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาได้เคยเขียนหนังสือที่ขายดีที่ชื่อ The Presentation Secrets of Steve Jobs ซึ่งเป็นหนังสือที่ “ถอดรหัส” ความสำเร็จของการนำเสนอของ Steve Jobs ที่ว่ากันว่า สามารถดึงดูดความสนใจกับผู้คนจำนวนมาก และเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของบริษัท Apple มาจนถึงปัจจุบัน
หนังสือ Talk Like TED นั้น มีความหนาทั้งหมด 288 หน้า ประกอบด้วย 9 บท โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของการพูด ซึ่งในส่วนนี้จะประกอบด้วย 3 บท ได้แก่ บทที่ 1 ซึ่งจะกล่าวถึงการ “ปลดปล่อย” พลังภายในของผู้พูดออกมา โดยบทนี้จะชี้ให้เห็นว่า หากเราได้พูดในสิ่งที่เราเชื่ออย่างแรงกล้านั้น การพูดนั้นจะมีพลังเป็นอย่างยิ่ง และพลังเหล่านี้แหละที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้อย่างมหาศาล ต่อมาในบทที่ 2 จะกล่าวถึงการพูดแบบ “เล่าเรื่อง” มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบฟังเรื่องเล่า มากกว่าจะฟังเพียงแค่เนื้อหาอย่างเดียว ดังนั้นผู้พูดจำเป็นที่จะต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี และในบทที่ 3 ในส่วนนี้คือเรื่องของการพูดที่ทำให้เหมือนกับเราสนทนากับเพื่อน ซึ่งมันจะมีความเป็นธรรมชาติ และเพิ่มความน่าฟังให้เกิดขึ้น
ส่วนที่ 2 ของหนังสือเล่มนี้ จะเน้นในเรื่องของ “ความใหม่” ในการพูด ซึ่งจะประกอบด้วย 3 บทได้แก่ บทที่ 4 คือวิธีการพูดที่สอดแทรกสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับผู้ฟัง ผู้พูดควรจะต้องศึกษาหรือรวบรวมเอาสิ่งที่คิดว่าผู้ฟังไม่น่าจะเคยได้ยิน และนำมานำเสนอให้กับผู้ฟัง แค่นี้ ก็จะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้อย่างมหาศาล ต่อมาในบทที่ 5 ก็มีการนำเสนอว่าการพูดนั้น ควรจะมีบางช่วงที่จะทำให้ “ผู้ฟังอ้าปากค้าง” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ผู้พูดได้นำเอาสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ หรือจะเป็นการแสดงรูปภาพหรือวีดีโอประกอบการพูด ที่ทำให้ผู้ฟังฟังแล้วตกตะลึง ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทรงพลังมากในการดึงดูดความสนใจ สำหรับบทสุดท้ายในส่วนที่ 2 นี้คือบทที่ 6 ซึ่งแนะนำการพูดที่สร้างอารมณ์ขัน เนื่องจากผู้ฟังส่วนใหญ่แล้ว อาจจะไม่อยากที่จะฟังสิ่งที่เป็นวิชาการหรือเนื้อหาสาระหนักจนเกินไป ดังนั้นการพูดที่มีการสอดแทรกอารมณ์ขันลงไป ก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มความน่าสนใจของการพูดนั้นได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับส่วนสุดท้าย คือส่วนที่ 3 จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เทคนิคการทำให้ผู้ฟังสามารถจดจำสิ่งที่ผู้พูดได้พูดได้ โดยบทแรกในส่วนนี้คือบทที่ 7 จะกล่าวถึง “เวลาที่ใช้ในการพูด” ซึ่งสำหรับ TED Talk นั้น ได้มีการกำหนดเวลาไว้ชัดเจน คือ 18 นาที ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ได้แนะนำว่า ผู้พูดควรจะพูดให้อยู่ในเวลาดังกล่าว เพราะการพูดที่นานจนเกินไป จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย และในที่สุดผู้ฟังก็จะไม่สามารถจดจำสิ่งที่ผู้พูดได้นำเสนอไปได้ บทต่อมาบทที่ 8 ก็จะเป็นเนื้อหาที่แนะนำว่า ผู้พูดควรจะสร้างภาพให้เกิดขึ้นในหัวข้อผู้ฟัง หากอยากให้ผู้ฟังสามารถจดจำสิ่งที่ผู้พูดได้นำเสนอได้ โดยอาจจะใช้สื่อต่าง ๆ ประกอบ และบทสุดท้ายของส่วนนี้คือบทที่ 9 ก็ได้แนะนำว่า ผู้พูดควรจะพูดในสิ่งที่ตนเองรู้ และไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นเหมือนคนอื่น ถ้าเราพูดในสิ่งที่เป็นตัวเรา การพูดนั้นก็จะประสบความสำเร็จในที่สุด
จะเห็นได้ว่าหนังสือเล่มนี้ ได้รวบรวมเอาเทคนิคการพูดที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง โดยผู้เขียนได้ทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์จากการสังเกตและการฟังนักพูดระดับโลกในเวที TED Talk จำนวนมากและได้ทำการย่อยและสรุปออกมาเป็นเทคนิค 9 ประการ ดังที่ได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น จุดเด่นอีกประการของหนังสือเล่มนี้คือผู้เขียนได้ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดยตัวอย่างนั้นก็มาจาก TED Talk ที่ประสบความสำเร็จ โดยมีผู้ชม VDO clip จำนวนหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความน่าสนใจของการพูดดังกล่าว
หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการพูด ไม่ว่าจะนักพูด ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ตลอดจนทุก ๆ คนที่เห็นความสำคัญของการพูด เพราะการพูดที่ดีนั้น จะมีส่วนช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างที่เราอาจจะคิดไม่ถึงก็เป็นได้
บรรณานุกรม
Gallo, C. (2014) Talk Like TED: The 9 Public Speaking Secrets of the World’s Top Minds, New York: St. Martin’s Press.
อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com หรือเข้าร่วมกลุ่ม Line@ ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/%40nopadolrompho
No comment yet, add your voice below!